วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2553

แมวแจแปนนิส บ็อบเทล แมวหางกุดญี่ปุ่น



แมวแจแปนนิส บ็อบเทล หรือ แมวหางกุดญี่ปุ่น (Japanese bobtail) เป็นแมวประจำชาติญี่ปุ่นที่น่ารัก แพร่หลายมาร่วมร้อยปีแล้ว และยังถือเป็นสัตว์นำโชคอีกด้วย นิสัยของแมว แมวแจแปนนิส บ็อบเทล เป็นมิตรกับคน ฉลาด และมีเสน่ห์ ดูจะเป็นแมวที่ร่าเริง และแฮปปี้ที่สุดพันธุ์หนึ่ง แมวเจแปนนิส บ๊อบเทล จึงเป็นแมวที่สุดแสนวิเศษสำหรับเด็ก ๆ ทั้งยังชอบเล่น ชอบคาบของไว้ในปากเดินไปมา และชอบตะกุยน้ำเล่น เสียงร้องสดใสนุ่มนวล

ลักษณะทั่วไปของ แมวเจแปนนิส บ๊อบเทล เป็นแมวขนาดกลาง มีมัดกล้ามเนื้อให้เห็น ขายาวเรียว มักพบว่าขาหลังยาวกว่าขาหน้า รูปร่างเรียว หัวเป็นรูปสามเหลี่ยม กระดูกแก้มเป็นสันนูน จมูกยาว ตารูปไข่ ตาสีเหลือง ไม่ค่อยพบตาสีฟ้า โครงกระดูกของรูปร่างใหญ่ ใบหูใหญ่ หางกุด (แต่ไม่สุด) มีขนหนาขึ้นปกคลุมสวยงามดูเหมือนหางของกระต่าย ซึ่งเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม ทั้งนี้ ขนบริเวณหางจะหนาและยาวกว่าที่ลำตัว มีหลายสี แต่สีขนที่ฮิตที่สุด คือ สามสี (ภาษาญี่ปุ่น เรียกว่า มิเกะ)

ถิ่นกำเนิด แมวเจแปนนิส บ๊อบเทล เป็นแมวรักษาการของไฮโซญี่ปุ่นมาหลายศตวรรษ โดยในปี ค.ศ.1602 มีคำสั่งจากทางการให้ผู้ครอบครองนำแมวของตัวเองไปปล่อยในพื้นที่ชนบทเพื่อทำสงครามการปราบหนู ซึ่งเป็นศัตรูตัวฉกาจของอุตสาหกรรมใหม่ที่กำลังรุ่งเรืองและทำรายได้เข้าประเทศอย่างมหาศาล ทำให้แมวเจแปนนิส บ๊อบเทล กลายเป็นส่วนหนึ่งของตำนาน และประวัติศาสตร์ รวมทั้งศิลปะของญี่ปุ่น โดยสื่อความหมายถึงการนำความโชคดีมีชัยมาให้

ต่อมาราวปี ค.ศ.1968 นักเพาะพันธุ์แมวชาวอเมริกันได้นำ แมวเจแปนนิส บ๊อบเทล จากญี่ปุ่นเข้ามาเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกาครั้งแรก และหลังจากนั้นสิบปีก็ได้รับการประกาศเป็นพันธุ์มาตรฐานและเป็นที่นิยมอย่างมาก

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แมวอาชีร่า เหมียวลายเสือ ตัวใหญ่ ราคาไฮโซ




แมวอาชีร่า (Ashera)เป็นแมวพันธุ์ใหม่ที่คิดค้นผสมพันธุ์โดยทีมงานบริษัท แคลิฟอร์เนีย ไบโอเทค ผสมระหว่างแมวป่าแอฟริกัน (African Surval) แมวเสือดาวเอเชีย (Asian Leopard Cat) และแมวบ้าน มีน้ำหนักมากที่สุดได้ถึง 13.6 กิโลกรัม เป็นสัตว์เลี้ยงยอดฮิตของเหล่าไฮโซในอเมริกา ราคาของมันจึง "ไฮ" ตามเงินในกระเป๋าของเจ้าของไปด้วย คือสนนราคาเริ่มต้นที่ 22,000 ดอลลาร์ หรือราว 770,000 บาท ส่วนแมวอาชีร่าตัวที่ป้องกันการแพ้ขนแมวได้นั้นเริ่มต้นที่ราคา 28,000 ดอลลาร์ หรือ 980,000 บาท

ไซมอน โบรดี้ ผู้ก่อตั้งบริษัทดังกล่าวบอกว่า ว่าจ้างทีมนักพันธุกรรม พัฒนาแมวอะชีราให้ห้องทดลองที่สหรัฐ การจะได้แมวสักตัวจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะผู้อยากเป็นเจ้าของจะต้องรอประมาณ 1 ปี ซึ่งทางบริษัทคาดว่าจะขายแมวได้ปีละประมาณ 50 ตัว

สำหรับ แมวอาชีร่า รูปร่างคล้ายกับแมวบ้านทั่ว ๆ ไป แต่ตัวใหญ่กว่าและมีลักษณะคล้ายกับเสือดาว ถ้ามันยืน 2 เท้า จะสูงถึง 120 เซนติเมตร มีอายุเฉลี่ยประมาณ 25 ปี แมวอาชีร่า เป็นแมวที่เลี้ยงง่ายมาก เป็นมิตรมาก ไม่หนีหน้าไปไหน แถมยังร้องเหมียว ๆ อ้อนอยู่บ่อย ๆ และที่เด็ดสุด คือเปิดประตูก็ได้และยังผูกสายจูงให้เจ้านายพาไปเดินเล่นได้อีกต่างหาก มันจึงเหมือนสุนัขมากกว่าอะไรทั้งหมด






นอกจาก แมวอาชีร่า แล้ว ยังมีแมวพันธุ์ใหม่ เช่น ทอยเกอร์ ซึ่งผสมจากเสือเบงกอลและแมวบ้าน แมวโชซี่ เกิดจากแมวป่าผสมแมวบ้านและแมวซาวานาห์ที่เกิดจากแมวป่าแอฟริกันและแมวบ้าน

ชูการ์ไกลเดอร์ สิ่งที่ต้องรู้ คู่การเลี้ยง

ความไม่รู้ย่อมนำมาซึ่งความหายนะ!


ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม หากทำไปโดยความไม่รู้ล่ะก็มีแต่จะพบกับความล้มเหลว ผิดหวัง ล่มจม หรือถึงชีวิต ดังนั้นการเลี้ยงเจ้า ชูการ์ไกลเดอร์ (Sugar Gliders) ซึ่งปัจจุบันนิยมเลี้ยงกันเป็นนักเป็นหนา ตั้งแต่ผมรักษามาก็มาก ระบุได้เลยว่าสาเหตุหลักความเจ็บป่วยของมันเกิดจากความไม่รู้ของเจ้าของหรือคนเลี้ยง หากคนเหล่านั้นจะใส่ใจหาความรู้ ทำความเข้าใจเสียก่อน ผลกรรมลำบากจะไม่ตกแก่สัตว์น่ารัก ตากลมโต ขนละเอียดนุ่มมืออีกต่อไป

ฉะนั้นข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้าของ คนเลี้ยง ชูการ์ไกลเดอร์ ทุกท่านต้องรู้ จดจำ ตระหนัก และปฏิบัติเพื่อให้สัตว์เลี้ยงของคุณได้อยู่อย่างสุขกายและใจไปนาน ๆ

1.ความผิดพลาดฉกรรจ์ของผู้เป็นเจ้าของชูการ์ไกลเดอร์คือ ตามใจปากเจ้าซูการ์เกินไป เพราะมันชอบกินของหวานของมันอยู่แล้ว คุณยิ่งให้มันกินตามใจชอบอยู่เรื่อยๆ นั่นแหละกำลังทำให้มันเจ็บป่วย ฉะนั้นอาหารแต่ละวันที่หวานจัด มีไขมันสูง ให้ได้ไม่เกินร้อยละ 5 ของอาหารที่กินประจำวัน

2.อาหารเสริมที่ผลิตมาสำหรับแมว ลิง สัตว์เลื้อยคลานไม่เหมาะแก่การให้ชูการ์ไกลเดอร์กิน

3.ผักผลไม้ที่กินเหลือ กินไม่หมดในแต่ละวัน ควรนำออกมาทิ้งในทุก ๆ เช้า

4.การจับต้องอุ้ม ชูการ์ไกลเดอร์ เพื่อเล่น หรือเคลื่อนย้าย หรือทุกครั้งที่จำเป็นต้องสัมผัสตัวเขา คุณควรล้างมือให้สะอาด ฟอกบริเวณซอกนิ้วและเล็บ เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย ที่คุณสามารถส่งต่อให้มันอย่างไม่ตั้งใจ

5.สำหรับท่านที่เล็บยาว ไว้เล็บ หรือต่อเล็บมา ให้ระมัดระวังความแหลมคมของเล็บจะไปสะกิดเกี่ยวเนื้อ หรือทิ่มแทงผิวหนังอันบางของชูการ์ไกลเดอร์เข้าจนเป็นแผลฉีกขาดรุนแรงได้ ขอให้ระวังมาก ๆ หรือไม่ก็ตัดเล็บให้สั้น

6.ชูการ์ไกลเดอร์ เป็นสัตว์ที่ไวต่อสารพิษทั้งหลายแหล่ ทั้งที่เป็นของธรรมชาติและสารประดิษฐ์ขึ้นใช้ในบ้าน ดังนั้นต้องป้องกันไม่ให้มันได้รับโดย

7.อย่าให้มันมีโอกาสลงไปในบริเวณที่ไม่มีฝาปิดหรือเปิดฝาทิ้งไว้ทั้งลาย เช่า อ่างล้างมือ โถส้วม อ่างอาบน้ำ ถังน้ำ

8.เตาไฟ (เตาแก๊ส) เตาไฟฟ้า หลอดไฟฟ้า เครื่องปิ้งขนมปัง เครื่องต้มกาแฟ

9.น้ำยาปรับอากาศ น้ำยาดับกลิ่น ยาฆ่ามด ยาฆ่าแมลง ที่ใช้พ่นเป็นสเปรย์

10.ช็อกโกแลตและขนมที่มีกาเฟอีน

11.กลิ่นสีทาบ้านที่ยังฟุ้งกระจาย ทินเนอร์ หรือสารระเหยอื่นใด

12.ของตกแต่งบ้านตามเทศกาล เช่น วันคริสต์มาส ปีใหม่ และตรุษจีน

13.กลิ่นควันธูป เทียน ประทัด พลุ ดินปืน หรือควันไฟต่าง ๆ

14.การใช้กระทะเทฟลอน หรือกระทะที่มีสารป้องกันอาหารติดเมื่อถูกความร้อน มันจะมีไอระเหยออกมาซึ่งเป็นอันตรายต่อชูการ์ไกลเดอร์ได้โดยที่คุณมองไม่เห็น หรือไม่ได้กลิ่นแม้แต่น้อย
ฯลฯ

ฉะนั้น เมื่อรู้ดังนี้แล้วต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น เมื่อเลี้ยงชูการ์ไกลเดอร์ตัวน้อย!

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไฮยาซิน..นกมาคอว์ คู่ผัวเมียราคากว่าล้านบาท

โดย ไชยรัตน์ ส้มฉุน

นกแก้วมาคอว์สีน้ำเงิน หรือนกไฮยาซิน เป็นนกแก้วขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สนนราคาขายกันในตลาด ตัวละ 450,000-500,000 บาท หากขายเป็นคู่ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ส่วนไข่ต่างชาติขายใบละแสน...

นกแก้วมาคอว์ สีน้ำเงิน Hyacinthine Macaw Anodorhynchus hyacinthinus หรือ นกไฮยาซิน เป็นมาคอว์ 1 ใน 16 พันธุ์ของนกปากขอ และเป็นนกแก้วขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดความยาวตั้งแต่หัวไปถึงปลายหางประมาณ 100 เซนติเมตร หรือตั้งแต่ 32-35 นิ้ว น้ำหนักเมื่อโตเต็มวัยประมาณ 7-9 ขีด

ลำตัวเป็นสีน้ำเงินอมม่วง ข้อพับบริเวณปีกทั้งสองข้างสีเหลือง ขาทั้งสองข้างสีดำ รอบ ๆ ปากมีสีเหลือง ปากแข็งแรงและงองุ้มสีดำ มีฟันเล็ก ๆ คล้ายเลื่อย สามารถขบกัดลวดขนาดเล็กให้ขาดได้ มีเสียงร้องที่ดังมาก จะงอยปาก จะใหญ่เป็นพิเศษ ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะคล้ายกันมากแต่เพศผู้ใหญ่กว่า

อุปนิสัยชอบอยู่กันเป็นฝูง รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ในฤดูผสมพันธุ์จะจับคู่กันแบบคู่ใครคู่มัน และไปสร้างรังตามต้นไม้ใหญ่ วางไข่ครั้งละ 3-4 ฟอง ใช้เวลาฟักไข่ 30-35 วัน ขนของ ลูกนกจะขึ้นหลังจาก 3 สัปดาห์ และขึ้น จนเต็มตัวกระทั่งมีสีสันสวยงาม

ลูกนกจะแข็งแรงเต็มที่ เมื่ออายุ 90 วัน ในระหว่างที่ยังเล็กต้องอาศัยอาหารจากแม่นกที่นำมาป้อน โดยจะใช้ปากจิกกินอาหารจากปากแม่ของมัน จนกระทั่งลูกนกสามารถช่วยตนเองได้และในที่สุดมันก็จะบินและหาอาหารเองโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่





ถิ่นกำเนิดอยู่ใน แอฟริกาใต้ เม็กซิโก และอเมริกาใต้ ปัจจุบันใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว ทั่วโลก มีไม่ถึง 5,000 ตัว ทำให้หลาย ๆ ประเทศ รวมทั้งคนไทยไปนำมาเพาะเลี้ยงไว้เพื่อจำหน่าย

สำหรับการเพาะเลี้ยงในกรงนั้น ผู้เลี้ยงจะต้องคิดพิจารณาเสียก่อนว่าจะเลี้ยงในบ้านหรือในกรงขนาดใหญ่ปะปนกับนกชนิดอื่นๆ โดยปกติมักนิยมเลี้ยงกรงละหนึ่งตัวดีกว่าปล่อยรวม ขนาดของกรงควรมีขนาดสูง 3 ฟุต ยาวด้านละ 2 ฟุต ใช้กรงเหล็กเพื่อป้องกันการกัดแทะ ซี่กรงความถี่พอประมาณไม่ให้นกยื่นอวัยวะออกมาข้างนอกได้

ผู้เลี้ยงต้องอาบน้ำให้มันเป็นประจำ ควรใช้น้ำจากฝักบัวรด ในฤดูฝนควรอาบน้ำกลางแจ้ง เพื่อให้อาบน้ำฝนบ้าง แล้วควรนำมาไว้ในที่มีแดดอ่อนๆ และอากาศบริสุทธิ์ ของเล่นภายในกรงไม่ว่าจะเป็นลูก ตุ้ม กระดิ่ง กระจกเงา และวัสดุใดๆที่ทำให้นกเกิดความเพลิดเพลิน วัสดุเหล่านี้ ควรทำด้วยเหล็ก เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายได้ง่าย...

นอกจากของเล่นยังต้องมีภาชนะสำหรับใส่อาหารและน้ำ ภาชนะพวกนี้ควรทำด้วยเหล็ก ส่วนที่เกาะควรใช้กิ่งไม้ที่ไม่ทาสีมาทำเป็นคอนให้นกเกาะเหมือนธรรมชาติ





นกสายพันธุ์ไฮยาซิน...เป็นนกที่ฉลาดและน่ารัก มีประสาทตาไวมาก หากเจ้าของเอาใจใส่มันก็รักเราเหมือนที่เรารักมัน สามารถสอนให้เล่นจักรยาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ได้ แต่ต้องหมั่นฝึกฝน

ในยามที่มันมีอารมณ์อ่อนหวาน ...มักเข้ามาอยู่ใกล้ๆคลอเคลียกับเจ้าของก็จะดูแล้วน่ารักดี หากยามที่มันโกรธหรือไม่พอใจใคร จะตรงเข้าไปจิกกัดทันที...

เมื่อเลี้ยงกระทั่งโตเต็มวัยแล้ว สนนราคาขายกันในตลาดตั้งแต่ ตัวละ 450,000-500,000 บาท หากขายเป็นคู่ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ส่วนไข่ชาวต่างชาติ เช่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ซื้อขายกันที่ใบละแสนเลยทีเดียว...

...โอ้โห...!! ใครทำแตกซักใบ...ลมใส่แน่นอน...!!

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"เนเธอร์แลนด์ ดวอร์ฟ" กับการเลี้ยงกระต่ายอย่างเข้าใจ


กระต่ายหูตั้งแสนซน พันธุ์ "เนเธอร์แลนด์ ดวอร์ฟ" (Netherland Dwarf) เรียกกันสั้น ๆ ว่า ND เป็นกระต่ายพันธุ์ฮิตอันดับต้น ๆ ของวงการ ด้วยความน่ารักแสนซน โดดเด่นที่ใบหูเล็ก ๆ ที่ตั้งคู่ขนาน ทั้งยังมีขนสั้น แต่นุ่มมือ แถมมันวาวน่าสัมผัส

ลักษณะที่ดีของกระต่ายพันธุ์นี้ก็คือ หูสั้นประมาณ 1 นิ้ว ตั้งขึ้นขนานกัน หรือหูยาวไม่เกิน 2 นิ้ว มีโครงสร้างสมส่วน โดยหัวและลำตัวควรมีสัดส่วน 1: 2 เมื่อกระต่ายนั่งจะมีลักษณะคล้ายลูกบอล 3 ลูก เรียงกัน และขนต้องสั้น หนาแน่น ไม่หยาบกระด้าง เมื่อลูบย้อนแนวเส้นขนจะคืนตัวได้เร็ว

นอกจากนี้ ND ยังมีสีที่หลากหลาย แบ่งออกเป็นกลุ่มสีต่าง ๆ อาทิ กลุ่มสีพื้น (ขนสีเดียวกันตลอดทั้งตัว) กลุ่มสีเฉด (มีความเข้มของสีขนในแต่ละตำแหน่งของตัวไม่เท่ากัน ที่ชัดเจนคือ จมูกและขาทั้งสี่) บางตัวมีแต้มสีน้ำตาลแดงเข้ม เหมือนสีของแมววิเชียรมาศ เรียกสี ไซมีส ซาเบิ้ล (Siamese Sable) แต่หากในขน 1 เส้น ของกระต่ายมีมากกว่า 1 สี ในขนเส้นเดียวกัน จะจัดเป็น กลุ่ม สีขนอะกูติ (Agouti) เช่น สีชินชิลล่า เป็นสีเทาแซมดำที่ปลายขนเหมือนสีตัวชินชิลล่า หรือสีกระรอก คือเป็นขนสีเทา แต่มีสีเทาเข้มที่ปลายขน หรือถ้ากระต่ายมีมาร์กกิ้งหรือสีต่าง ๆ พาดที่คอ ก็จัดเป็นกลุ่มมีสร้อย ซึ่งแบ่งได้อีกหลายประเภท

เรื่องนิสัยของเจ้าหูตั้ง แตกต่างกับพันธุ์หูตกอย่างสิ้นเชิง อาจเพราะรูปร่างที่เล็กคล่องตัวกว่า ND จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นกระต่ายแสนซน ชอบวิ่ง ไม่ยอมหยุดเฉย หลายตัวขี้วีน ขี้หงุดหงิด ไม่ชอบให้ใครมาจับหรือวุ่นวาย ถ้าจนมุมก็จะข่วนแสดงอารมณ์ แต่ก็มีบางตัวเรียบร้อย บางตัวขี้อ้อน แต่โดยสัญชาตญาณของกระต่ายมักกลัวความสูง ผู้เลี้ยงจะต้องระวังให้มากในการอุ้ม ซึ่งการอุ้มที่ถูกวิธี ไม่ควรรวบหูกระต่ายแล้วหิ้วเป็นเด็ดขาด เนื่องจากเป็นประสาทส่วนสำคัญของกระต่าย ขณะที่การอุ้มอย่างถูกวิธีคือ การจับส่วนหนังบริเวณคอแล้วอุ้มก้นกระต่ายไว้ หรือจับนอนหงายอุ้มกระต่ายไว้ในอ้อมกอด กระต่ายจะนิ่งลง บางตัวแอบหลับไปเลยก็มี

แม้จะรู้จักลักษณะและนิสัยของกระต่าย แต่ไม่ได้หมายว่าจะเริ่มเลี้ยงกันได้ง่าย ๆ เพราะต้องเข้าใจในเรื่องธรรมชาติของกระต่ายและการเลี้ยงที่เหมาะสมด้วย

คุณปิยะลักษณ์ สาริยา หรือ คุณเดียว เจ้าของ "บันนี่ ดีไลท์" ฟาร์มกระต่ายพันธุ์ดี ในอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี บอกว่า คนที่คิดเลี้ยงกระต่าย ควรทราบวัตถุประสงค์ก่อนว่าจะเลี้ยงเพื่ออะไร ต้องการเลี้ยงเพื่อความสุขของคุณและกระต่าย หรือถ้าจะเลี้ยงเพื่อการพัฒนาสายพันธุ์ในตำแหน่งบรีดเดอร์ ก็ต้องเลี้ยงอย่างบรีดเดอร์

"ที่บันนี่ ดีไลท์ เราเริ่มจากสายพันธุ์ที่ดีเป็นหลักจึงใช้อาหารเกรดพรีเมี่ยม เลี้ยงในห้องแอร์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครก็ตามที่เลี้ยงกระต่ายต้องเลี้ยงในห้องแอร์ แต่ต้องมีอากาศถ่ายเท มีลมผ่านให้เขาได้ระบายความร้อน อย่างสุนัขระบายความร้อนด้วยลิ้น ที่เขาชอบอ้าปากแลบลิ้นแฮะ ๆ แต่หม้อน้ำระบายความร้อนของกระต่ายก็คือ หู เพราะฉะนั้นหากเขาต้องอยู่กับพื้นที่ที่ร้อนมาก สิ่งที่กระต่ายจะทำก็คือ ทิ้งขนหู ขนหูเขาก็จะบางลง และอาจจะมีผลไปยังรุ่นลูกหลานต่อไป คือหูจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ เพราะระบายความร้อนไม่ทัน เขาก็จะต้องขยายหม้อน้ำขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายความว่าสิ่งแวดล้อมอาจมีผลต่อพัฒนาการของกระต่ายด้วย"

ทั้งนี้ หูกระต่ายที่ยาวขึ้นอาจจะไม่เห็นผลชัดเจนในเวลาอันสั้น แต่การเลี้ยงในที่ที่ร้อนเกินไปจะเห็นผลทันตากับ ND ก็คือ สารเคลือบขนมัน ๆ หรือแวกซ์ที่กระต่ายจะปล่อยออกมาเพื่อสร้างความอบอุ่นและทำให้ขนนุ่มสวยจะลดน้อยลง อาจทำให้กลายเป็นกระต่ายขนหยาบ ไร้น้ำหนักได้

ควรเลี้ยงกระต่ายอย่างไร

ไม่ว่าจะเลี้ยงด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม กระต่ายจะต้องมีสุขภาพดีและมีชีวิตที่ยืนยาว ตั้งแต่เริ่มต้นนำกระต่ายมาเลี้ยง ไม่ใช่แค่จับโยนเข้ากรง วางอาหาร แต่เจ้าของต้องสังเกตตั้งแต่อาหารเดิมจากร้านค้าหรือผู้เลี้ยงคนเก่า ควรขออาหารและภาชนะเดิมมาด้วย เพื่อลดภาวะเครียดจากการย้ายบ้าน ถ้าเป็นไปได้อย่าเพิ่งเห่อ อุ้มกระต่ายเล่น อดใจไว้สัก 2 วัน ค่อยทำความคุ้นเคยกับกระต่าย โดยให้ดมมือระหว่างให้อาหาร

ส่วนอาหารสำหรับกระต่าย ถ้าใครอุดหนุนคนขายกระต่ายที่ยังไม่หย่านมแม่ คงต้องปวดหัวหนัก เพราะรอดยาก กินอะไรก็มักท้องอืดตาย แต่ถ้าเป็นกระต่ายวัยมากกว่า 45 วัน หรือหย่านมแล้วก็ค่อยยังชั่ว แต่ระยะแรกผู้เลี้ยงใหม่ควรให้อาหารชนิดเดิมก่อน พอเข้าวันที่ 3 จึงให้อาหารใหม่ที่ต้องการผสมลงไป ราว 15-20% และค่อย ๆ เพิ่มให้เป็นอาหารใหม่ทั้งหมดภายใน 5-7 วัน แล้วสังเกตว่ากระต่ายยอมกินอาหารใหม่และท้องเสียหรือไม่ และอย่าเพิ่งให้อาหารอื่น ๆ นอกจากอาหารสำหรับกระต่ายเพื่อความปลอดภัย

ถ้าครบ 7 วันอันตราย หลังจากย้ายบ้านใหม่ กระต่ายรอดและร่าเริง คราวนี้ก็เล่นทำความคุ้นเคยได้สบาย เน้นที่อาหารและน้ำที่สะอาด กรงสะอาด มีพื้นที่ออกกำลังอย่างเหมาะสม และได้รับการดูแลสุขภาพเป็นประจำ โดยสังเกตอาการทั่วไป อาทิ ท่านอนหมอบหลับแบบปกติไหม ดูการหายใจว่าจมูกกระดิกดี หรือมีเสียงฟืดฟาดหรือเปล่า ดมกลิ่นหูหรือสัมผัสว่าหูร้อนผิดปกติหรือไม่ กินอาหารน้อยลงหรือไม่ รวมถึงสังเกต "อึ" หรือมูลของกระต่าย ว่าลักษณะก้อนอึเป็นอย่างไร ถ้าปกติอึจะกลมโตและแห้งดี ไม่มีกลิ่น

แต่ในกรณีที่ผู้เลี้ยงใช้ผักสด หรือหญ้าสดเป็นอาหาร อึอาจจะนิ่มได้ไม่น่ากลัวนัก แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่อึค่อนข้างเหลวประมาณยาสีฟัน หรือเหลวติดก้นเกรอะกรังแถมมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ หรืออึเป็นเม็ดแต่ออกมาพร้อมกับมูกเป็นเมือกขุ่นข้นติดเศษหญ้า ถ้าอย่างนี้ ให้รีบเก็บตัวอย่างใส่ถุงพลาสติคแล้วพาไปหาหมอให้เร็วที่สุด เพื่อการรักษาอย่างถูกต้อง กรณีนี้อาจเกิดจากความเครียดของกระต่าย เพราะเมื่อกระต่ายเครียดร่างกายจะขับสารเคมีบางอย่างออกมา ทำให้ภาวะของจุลชีพช่วยย่อยอาหารในกระพุ้งลำไส้ผิดปกติไป ความสมดุลของจุลชีพอันประกอบด้วยแบคทีเรีย โปรโตซัว และยีสต์ ในสำไส้ก็รวน อาจมีโปรโตซัวมากเกินปกติ กระต่ายก็ถ่ายเป็นมูกได้ กินยาเช้า-เย็น 5 วัน ก็หายสนิท

อึกระต่ายอีกแบบที่ต้องทำความเข้าใจคือ "อึพวงองุ่น" อึแบบนี้ปลอดภัย เพราะเป็นความมหัศจรรย์ของระบบการย่อยของกระต่ายที่มักจะเกิดกับกระต่ายที่สมบูรณ์มาก มักถ่ายออกมาในเวลากลางคืน หากกระต่ายเหยียบจนเละมองไม่ออกให้สังเกตที่ก้นกระต่าย ถ้าไม่มีอึเหลวติดก้นก็ไม่ต้องตกใจ (แต่ถ้ามีอึพวงองุ่นกองไว้จำนวนมาก ควรลดอาหารเม็ดลง) ส่วนอึที่มีลักษณะเป็นก้อนกลมๆ แต่มีเส้นใยเชื่อมต่อกันเหมือนสร้อยไข่มุก นั่นหมายถึงการขับเส้นขนที่กระต่ายเผลอกลืนกินเข้าไปขณะกินอาหารหรือทำความสะอาดตัวเอง

แต่ถ้ากระต่ายถ่ายเหลวที่เกิดจากอาหารสกปรกมีเชื้อบิดหรือเชื้ออีโคไล แบบนี้น่ากลัว พ่อกระต่ายและคุณเดียวจึงฝากย้ำเรื่องความสะอาดของกรงและอาหาร อย่างผักสดกระต่าย ควรให้เมื่อกระต่ายอายุ 3 เดือน แต่ด้วยความสมบูรณ์ของลูกกระต่ายของบันนี่ ดีไลท์ กระต่ายบ้านนี้จึงสามารถกินผักได้ในวัยไม่กี่สัปดาห์ คุณเดียวจึงต้องล้างผักให้สะอาดมาก ด้วยน้ำยาล้างผัก 1 รอบ ต่อด้วยโซเดียมไบคาบอเนตอีก 1 รอบ ล้างออกต่อด้วยน้ำสะอาดไหลผ่าน และล้างด้วยน้ำด่างทับทิมอีกรอบหนึ่ง เพื่อให้ผักสำหรับกระต่ายปลอดเชื้อที่สุด

อาหารที่ไม่ควรให้กระต่ายกิน ก็คือ แตงกวา ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ผักบุ้ง พวกนี้ไม่ควรให้กระต่ายเลย บางคนเข้าใจผิดคิดว่าอย่างไรก็เป็นผัก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ในระยะแรกกระต่ายอาจจะไม่เป็นอะไร แต่หากสะสมไปนานๆ อาจจะทำให้มีผลต่อสุขภาพและกระต่ายอาจตายได้ บางตัวท้องเสียฉับพลันก็มี เพราะพืชตระกูลถั่วต่างๆ จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะได้ง่าย ผักที่แนะนำก็คือ คะน้า ผักกาดหอม กวางตุ้ง ขึ้นฉ่าย นานๆ ก็ให้กะเพราสักที ส่วน แครอต ไม่ต้องให้มาก เพราะแป้งเยอะ กินมากกระต่ายจะอ้วน" คุณเดียว บอกย้ำ

หากเข้าใจการเลี้ยงกระต่ายที่เหมาะสม โดยเฉพาะการให้อาหารแล้ว เชื่อว่าอย่างน้อยกระต่ายก็กินดีอยู่ดี เป็นเพื่อนเล่นไปได้อีกนาน

หยุด ! การกั้นเขตแดนของ แมวเหมียว


หยุดการกั้นเขตแดนของเจ้าเหมียว

ถ้าคุณมีแมวสักตัวอาศัยอยู่ในบ้าน พื้นที่ทั้งหมดจะเป็นของมัน แต่ถ้าหากคุณมีสมาชิกแมวเพิ่มขึ้น คุณก็จำเป็นต้องแบ่งสรรพื้นที่ให้พวกมัน คุณอาจแบ่งห้องโดยใช้ชิ้นเฟอร์นิเจอร์ การแบ่งพื้นที่อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยมาก ทุกครั้งที่บ้านของคุณมีสมาชิกแมวมาเพิ่ม คุณก็ต้องจัดสรรพื้นที่กันใหม่

ขั้นตอน 3 ขั้น หยุดการกั้นอาณาเขต

วิธีการจัดการกับการฉี่เพื่อกั้นอาณาเขตของแมวแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่หนึ่งบางทีคุณอาจ ต้องพาแมวไปหาหมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมวตัวผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ซึ่งทำให้มันฉี่ไม่เป็นที่เป็นทาง และเลอะเทอะออกมานอกกล่อง สัตวแพทย์จะช่วยคุณแก้ปัญหาได้โดยการใช้ยา ขั้นตอนที่สองต่อไป คือหาสาเหตุของพฤติกรรม สาเหตุที่ทำให้แมวฉี่ไม่เป็นที่เป็นทางมีได้หลายอย่าง เช่น มีการซ่อมแซมบ้านครั้งใหญ่ มีแมวตัวใหม่ หรือ มีเด็กแรกเกิดในบ้าน หากเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ แมวก็จะหยุดฉี่เพื่อกั้นอาณาเขต หรือบางทีแมวฉี่ทั่วบ้าน เพราะกล่องสุขาไม่ใช่ที่ที่น่าเข้าไปทำธุระ

สุขาให้ดูน่าสนใจ

สาเหตุของปัญหาแล้ว คุณก็พร้อมที่จะแก้ปัญหาได้ในขั้นตอนที่ 3 การปรับสถานการณ์ ก็คือการปรับปรุงกล่องสุขาให้น่าสนใจให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การปรับปรุงกล่องสุขาของมัน ไม่ได้หมายถึงการทำความสะอาดเป็นประจำเท่านั้น สิ่งสำคัญ เมื่อแมวไปเข้าห้องน้ำก็คือความสะอาด ความเป็นส่วนตัว และสามารถที่จะหลบหลีกจากผู้คนได้ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ อย่าใช้เพียงแต่กล่องที่มีฝาปิด กล่องเหล่านั้นอาจจะไม่ส่งกลิ่นไปถึงคุณ แต่กลิ่นนั่นทำให้แมวเวียนหัว แม้ว่าแมวจะต้องการความเป็นส่วนตัว การวางกล่องไว้ที่มุมห้องก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะอาจทำให้แมวรู้สึกเหมือนติดกับดัก

ให้เจ้าเหมียวรู้สึกปลอดภัย

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการปลดปล่อยเจ้าเหมียวจากความเครียด เมื่อคุณเข้าไปจัดการกับการกั้นเขตแดนของมัน เจ้าเหมียวก็จะคิดว่าบ้านนั้นไม่มีความปลอดภัยอีกแล้ว แมวต้องการความรู้สึกปลอดภัยในอาณาเขตของมัน คุณควรแก้ปัญหาไปทีละขั้นตอน แมวมีแนวโน้มที่จะครอบครองเป็นเจ้าของ คุณอาจจะเห็นการครอบครองพื้นที่ ของมันโดยเริ่มต้นจากประตู และทางเดินไปห้องรับแขก สิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือให้คุณใช้ประโยชน์จากพื้นที่ ส่วนนั้น แต่อาจต้องหมั่นเช็ดรอยสกปรก จนกว่าคุณจะพบกับต้นตอของปัญหาของการกั้นอาณาเขตที่แท้จริง

สรุป วิธีแก้ปัญหา แมวปัสสาวะผิดที่ผิดทาง แบ่งได้เป็น 3 ขั้นตอน คือ

แก้ปัญหาทางยา โดยการพาเจ้าเหมียวไปพบสัตวแพทย์ เนื่องจากแมวตัวผู้ มีแนวโน้มจะเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบและเที่ยวได้ฉี่เรี่ยราด ไม่ได้เป็นการจอง อาณาเขตซักหน่อย

หาสาเหตุของพฤติกรรม สาเหตุที่เป็นไปได้คือ การมีสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ มีเด็กทารกเกิดใหม่ในบ้าน หรือมีการซ่อมแซมบ้าน

การปรับปรุงสถานการณ์ โดยทำให้แมวรู้สึกปลอดภัย ปรับปรุงกล่องสุขาของเจ้าเหมียว ให้น่าสนใจมากขึ้น ใส่ใจ และให้เวลากับมันมากขึ้น

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ฤดูหนาวกับการเลี้ยงดูลูกดูสุนัข


การเลี้ยงดูลูกสุนัขในฤดูหนาว (โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ)

ปลายฝนต้นหนาว ช่วงการเปลี่ยนฤดูใหม่ ๆ ไม่ใช่แค่คนเท่านั้นที่มีโอกาสเป็นไข้หวัด ในช่วงเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวนี้เองมักจะพบได้ว่าสุนัขแสนรักก็มีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคหลาย ๆ โรค โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส สุนัขมักจะเป็นโรคติดต่อซึ่งไม่มียาตัวใดที่จะฆ่าเชื้อไวรัสนี้ได้ การที่จะทำให้สุนัขหายป่วยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับระดับอุณหภูมิคุ้มกันของตัวสัตว์เอง การรักษาจึงเป็นเพียงการประคับประคอง โดยการให้น้ำเกลือ และป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เป็นต้น

โรคชนิดต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้กับลูกสุนัขในช่วงฤดูหนาว

ไวรัส canine herpevirus ลูกสัตว์แรกเกิดร่างกายมีอุณหภูมิต่ำ จะมีความไวต่อการติดเชื้อไวรัสนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุของการตายในลูกสัตว์แรกเกิดที่อายุระหว่าง 9-14 วัน ลูกสุนัขสามารถติดต่อจากแม่สัตว์ผ่านทางน้ำลาย น้ำจากช่องคลอด จะมีอาการกระวนกระวาย ร้องตลอดเวลา ปวดท้อง หายใจถี่ อาจชักหรือเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมง การรักษาทำได้เพียงแบบประคับประคอง ได้แก่ การให้สารน้ำทดแทน และการป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เพราะไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้ ดังนั้นควรรักษาสุขภาพแม่สุนัขให้แข็งแรง ให้ลูกสุนัขอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นประมาณ 37 องสาเซลเซียส

โรคไข้หัดสุนัข canine distemper เกิดจาดการติดเชื้อไวรัส สามารถติดต่อได้หลายทางไม่ว่าจะเป็น ทางอุจจาระ น้ำลาย ปัสสาวะ น้ำมูก น้ำตา และที่สำคัญคือการติดต่อผ่านทางอากาศและการหายใจอาการในรายที่รุนแรงจะพบว่าสัตว์มีน้ำมูกน้ำตา ไอ หายใจลำบาก ท้องเสีย อาเจียน ปอดปวม บริเวณจมูกและฝ่าเท้าจะหนาตัวขึ้น และอาการทางประสาท เช่น ชัก อัมพาต การรักษาทำได้เพียงแบบประคับประคอง เช่นเดียวกัน โรคไข้หัดสุนัขสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนและไม่สัมผัสกับสุนัขที่ติดเชื้อ เนื่องจากสภาพอากาศเย็นนั้นความชุ่มชื้นของทางเดินหายใจส่วนต้นจะน้อยทำให้กระบวนการป้องกันโรคของร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ จะติดเชื้อต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

โรคติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ เกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน ทั้งไวรัส แบคทีเรีย หรือรวมกันทั้งสองอย่าง สามารถติดต่อทางการหายใจหรือสิ่งคัดหลั่ง พบได้บ่อยโดยเฉพาะแหล่งขายสุนัขที่เลี้ยงแออัด การระบายและสภาพแวดล้อมไม่ดี ร้อน หนาว หรือลมโกรกมากเกินไป มักแสดงอาการแบบเรื้อรัง มีไข้ไม่สูงนัก กินอาหารได้แต่น้อย ไอมีเสมหะ อาจพบน้ำมูกข้นเล็กน้อย การรักษาจึงทำได้เพียงแบบประคับประคอง เช่นเดียวกันแต่ถ้าไม่รักษาอาจปอดปวม หายใจลำบาก และเสียชีวิตได้ ควรป้องกันโดยปรับสภาพแวดล้อม ออกกำลังกาย อยู่ในที่ที่อบอุ่น

ทั้งนี้ อาจจะใส่เสื้อสำหรับสุนัขเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย จากทั้งหมดที่กล่าวมาพบว่า เรามักจะพบอัตราเสียชีวิตสูงที่สุดในลูกสุนัข ส่วนในรายสุนัขที่โตแล้วนั้น พบว่าอัตราการเสียชีวิตจะน้อยลงเนื่องจากร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานได้ ดังนั้น การทำวัคซีนตามโปรแกรมในลูกสุนัขเป็นการป้องกันโรคที่ดีอย่างหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม เจ้าของสุนัขควรตรวจเช็คประวัติวัคซีนประจำปี บำรุงรักษาสุขภาพร่างกายของสัตว์ให้แข็งแรง ได้รับโภชนาการที่เหมาะสม มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และงดการนำสุนัขไปพบปะกับสุนัขที่มีประวัติวัคซีนที่ไม่แน่นอน และพยายามให้ร่างกายสุนัขอบอุ่นอยู่เสมอ เท่านี้ก็สามารถช่วยลดอัตราการเกิดโรคไวรัสในช่วงหน้าหนาวนี้ได้แล้ว