วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

แมวอาชีร่า เหมียวลายเสือ ตัวใหญ่ ราคาไฮโซ




แมวอาชีร่า (Ashera)เป็นแมวพันธุ์ใหม่ที่คิดค้นผสมพันธุ์โดยทีมงานบริษัท แคลิฟอร์เนีย ไบโอเทค ผสมระหว่างแมวป่าแอฟริกัน (African Surval) แมวเสือดาวเอเชีย (Asian Leopard Cat) และแมวบ้าน มีน้ำหนักมากที่สุดได้ถึง 13.6 กิโลกรัม เป็นสัตว์เลี้ยงยอดฮิตของเหล่าไฮโซในอเมริกา ราคาของมันจึง "ไฮ" ตามเงินในกระเป๋าของเจ้าของไปด้วย คือสนนราคาเริ่มต้นที่ 22,000 ดอลลาร์ หรือราว 770,000 บาท ส่วนแมวอาชีร่าตัวที่ป้องกันการแพ้ขนแมวได้นั้นเริ่มต้นที่ราคา 28,000 ดอลลาร์ หรือ 980,000 บาท

ไซมอน โบรดี้ ผู้ก่อตั้งบริษัทดังกล่าวบอกว่า ว่าจ้างทีมนักพันธุกรรม พัฒนาแมวอะชีราให้ห้องทดลองที่สหรัฐ การจะได้แมวสักตัวจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เพราะผู้อยากเป็นเจ้าของจะต้องรอประมาณ 1 ปี ซึ่งทางบริษัทคาดว่าจะขายแมวได้ปีละประมาณ 50 ตัว

สำหรับ แมวอาชีร่า รูปร่างคล้ายกับแมวบ้านทั่ว ๆ ไป แต่ตัวใหญ่กว่าและมีลักษณะคล้ายกับเสือดาว ถ้ามันยืน 2 เท้า จะสูงถึง 120 เซนติเมตร มีอายุเฉลี่ยประมาณ 25 ปี แมวอาชีร่า เป็นแมวที่เลี้ยงง่ายมาก เป็นมิตรมาก ไม่หนีหน้าไปไหน แถมยังร้องเหมียว ๆ อ้อนอยู่บ่อย ๆ และที่เด็ดสุด คือเปิดประตูก็ได้และยังผูกสายจูงให้เจ้านายพาไปเดินเล่นได้อีกต่างหาก มันจึงเหมือนสุนัขมากกว่าอะไรทั้งหมด






นอกจาก แมวอาชีร่า แล้ว ยังมีแมวพันธุ์ใหม่ เช่น ทอยเกอร์ ซึ่งผสมจากเสือเบงกอลและแมวบ้าน แมวโชซี่ เกิดจากแมวป่าผสมแมวบ้านและแมวซาวานาห์ที่เกิดจากแมวป่าแอฟริกันและแมวบ้าน

ชูการ์ไกลเดอร์ สิ่งที่ต้องรู้ คู่การเลี้ยง

ความไม่รู้ย่อมนำมาซึ่งความหายนะ!


ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม หากทำไปโดยความไม่รู้ล่ะก็มีแต่จะพบกับความล้มเหลว ผิดหวัง ล่มจม หรือถึงชีวิต ดังนั้นการเลี้ยงเจ้า ชูการ์ไกลเดอร์ (Sugar Gliders) ซึ่งปัจจุบันนิยมเลี้ยงกันเป็นนักเป็นหนา ตั้งแต่ผมรักษามาก็มาก ระบุได้เลยว่าสาเหตุหลักความเจ็บป่วยของมันเกิดจากความไม่รู้ของเจ้าของหรือคนเลี้ยง หากคนเหล่านั้นจะใส่ใจหาความรู้ ทำความเข้าใจเสียก่อน ผลกรรมลำบากจะไม่ตกแก่สัตว์น่ารัก ตากลมโต ขนละเอียดนุ่มมืออีกต่อไป

ฉะนั้นข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่เจ้าของ คนเลี้ยง ชูการ์ไกลเดอร์ ทุกท่านต้องรู้ จดจำ ตระหนัก และปฏิบัติเพื่อให้สัตว์เลี้ยงของคุณได้อยู่อย่างสุขกายและใจไปนาน ๆ

1.ความผิดพลาดฉกรรจ์ของผู้เป็นเจ้าของชูการ์ไกลเดอร์คือ ตามใจปากเจ้าซูการ์เกินไป เพราะมันชอบกินของหวานของมันอยู่แล้ว คุณยิ่งให้มันกินตามใจชอบอยู่เรื่อยๆ นั่นแหละกำลังทำให้มันเจ็บป่วย ฉะนั้นอาหารแต่ละวันที่หวานจัด มีไขมันสูง ให้ได้ไม่เกินร้อยละ 5 ของอาหารที่กินประจำวัน

2.อาหารเสริมที่ผลิตมาสำหรับแมว ลิง สัตว์เลื้อยคลานไม่เหมาะแก่การให้ชูการ์ไกลเดอร์กิน

3.ผักผลไม้ที่กินเหลือ กินไม่หมดในแต่ละวัน ควรนำออกมาทิ้งในทุก ๆ เช้า

4.การจับต้องอุ้ม ชูการ์ไกลเดอร์ เพื่อเล่น หรือเคลื่อนย้าย หรือทุกครั้งที่จำเป็นต้องสัมผัสตัวเขา คุณควรล้างมือให้สะอาด ฟอกบริเวณซอกนิ้วและเล็บ เนื่องจากเป็นแหล่งสะสมของเชื้อแบคทีเรีย ที่คุณสามารถส่งต่อให้มันอย่างไม่ตั้งใจ

5.สำหรับท่านที่เล็บยาว ไว้เล็บ หรือต่อเล็บมา ให้ระมัดระวังความแหลมคมของเล็บจะไปสะกิดเกี่ยวเนื้อ หรือทิ่มแทงผิวหนังอันบางของชูการ์ไกลเดอร์เข้าจนเป็นแผลฉีกขาดรุนแรงได้ ขอให้ระวังมาก ๆ หรือไม่ก็ตัดเล็บให้สั้น

6.ชูการ์ไกลเดอร์ เป็นสัตว์ที่ไวต่อสารพิษทั้งหลายแหล่ ทั้งที่เป็นของธรรมชาติและสารประดิษฐ์ขึ้นใช้ในบ้าน ดังนั้นต้องป้องกันไม่ให้มันได้รับโดย

7.อย่าให้มันมีโอกาสลงไปในบริเวณที่ไม่มีฝาปิดหรือเปิดฝาทิ้งไว้ทั้งลาย เช่า อ่างล้างมือ โถส้วม อ่างอาบน้ำ ถังน้ำ

8.เตาไฟ (เตาแก๊ส) เตาไฟฟ้า หลอดไฟฟ้า เครื่องปิ้งขนมปัง เครื่องต้มกาแฟ

9.น้ำยาปรับอากาศ น้ำยาดับกลิ่น ยาฆ่ามด ยาฆ่าแมลง ที่ใช้พ่นเป็นสเปรย์

10.ช็อกโกแลตและขนมที่มีกาเฟอีน

11.กลิ่นสีทาบ้านที่ยังฟุ้งกระจาย ทินเนอร์ หรือสารระเหยอื่นใด

12.ของตกแต่งบ้านตามเทศกาล เช่น วันคริสต์มาส ปีใหม่ และตรุษจีน

13.กลิ่นควันธูป เทียน ประทัด พลุ ดินปืน หรือควันไฟต่าง ๆ

14.การใช้กระทะเทฟลอน หรือกระทะที่มีสารป้องกันอาหารติดเมื่อถูกความร้อน มันจะมีไอระเหยออกมาซึ่งเป็นอันตรายต่อชูการ์ไกลเดอร์ได้โดยที่คุณมองไม่เห็น หรือไม่ได้กลิ่นแม้แต่น้อย
ฯลฯ

ฉะนั้น เมื่อรู้ดังนี้แล้วต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น เมื่อเลี้ยงชูการ์ไกลเดอร์ตัวน้อย!

วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ไฮยาซิน..นกมาคอว์ คู่ผัวเมียราคากว่าล้านบาท

โดย ไชยรัตน์ ส้มฉุน

นกแก้วมาคอว์สีน้ำเงิน หรือนกไฮยาซิน เป็นนกแก้วขนาดใหญ่ที่สุดในโลก สนนราคาขายกันในตลาด ตัวละ 450,000-500,000 บาท หากขายเป็นคู่ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ส่วนไข่ต่างชาติขายใบละแสน...

นกแก้วมาคอว์ สีน้ำเงิน Hyacinthine Macaw Anodorhynchus hyacinthinus หรือ นกไฮยาซิน เป็นมาคอว์ 1 ใน 16 พันธุ์ของนกปากขอ และเป็นนกแก้วขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดความยาวตั้งแต่หัวไปถึงปลายหางประมาณ 100 เซนติเมตร หรือตั้งแต่ 32-35 นิ้ว น้ำหนักเมื่อโตเต็มวัยประมาณ 7-9 ขีด

ลำตัวเป็นสีน้ำเงินอมม่วง ข้อพับบริเวณปีกทั้งสองข้างสีเหลือง ขาทั้งสองข้างสีดำ รอบ ๆ ปากมีสีเหลือง ปากแข็งแรงและงองุ้มสีดำ มีฟันเล็ก ๆ คล้ายเลื่อย สามารถขบกัดลวดขนาดเล็กให้ขาดได้ มีเสียงร้องที่ดังมาก จะงอยปาก จะใหญ่เป็นพิเศษ ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะคล้ายกันมากแต่เพศผู้ใหญ่กว่า

อุปนิสัยชอบอยู่กันเป็นฝูง รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ ในฤดูผสมพันธุ์จะจับคู่กันแบบคู่ใครคู่มัน และไปสร้างรังตามต้นไม้ใหญ่ วางไข่ครั้งละ 3-4 ฟอง ใช้เวลาฟักไข่ 30-35 วัน ขนของ ลูกนกจะขึ้นหลังจาก 3 สัปดาห์ และขึ้น จนเต็มตัวกระทั่งมีสีสันสวยงาม

ลูกนกจะแข็งแรงเต็มที่ เมื่ออายุ 90 วัน ในระหว่างที่ยังเล็กต้องอาศัยอาหารจากแม่นกที่นำมาป้อน โดยจะใช้ปากจิกกินอาหารจากปากแม่ของมัน จนกระทั่งลูกนกสามารถช่วยตนเองได้และในที่สุดมันก็จะบินและหาอาหารเองโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่





ถิ่นกำเนิดอยู่ใน แอฟริกาใต้ เม็กซิโก และอเมริกาใต้ ปัจจุบันใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว ทั่วโลก มีไม่ถึง 5,000 ตัว ทำให้หลาย ๆ ประเทศ รวมทั้งคนไทยไปนำมาเพาะเลี้ยงไว้เพื่อจำหน่าย

สำหรับการเพาะเลี้ยงในกรงนั้น ผู้เลี้ยงจะต้องคิดพิจารณาเสียก่อนว่าจะเลี้ยงในบ้านหรือในกรงขนาดใหญ่ปะปนกับนกชนิดอื่นๆ โดยปกติมักนิยมเลี้ยงกรงละหนึ่งตัวดีกว่าปล่อยรวม ขนาดของกรงควรมีขนาดสูง 3 ฟุต ยาวด้านละ 2 ฟุต ใช้กรงเหล็กเพื่อป้องกันการกัดแทะ ซี่กรงความถี่พอประมาณไม่ให้นกยื่นอวัยวะออกมาข้างนอกได้

ผู้เลี้ยงต้องอาบน้ำให้มันเป็นประจำ ควรใช้น้ำจากฝักบัวรด ในฤดูฝนควรอาบน้ำกลางแจ้ง เพื่อให้อาบน้ำฝนบ้าง แล้วควรนำมาไว้ในที่มีแดดอ่อนๆ และอากาศบริสุทธิ์ ของเล่นภายในกรงไม่ว่าจะเป็นลูก ตุ้ม กระดิ่ง กระจกเงา และวัสดุใดๆที่ทำให้นกเกิดความเพลิดเพลิน วัสดุเหล่านี้ ควรทำด้วยเหล็ก เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายได้ง่าย...

นอกจากของเล่นยังต้องมีภาชนะสำหรับใส่อาหารและน้ำ ภาชนะพวกนี้ควรทำด้วยเหล็ก ส่วนที่เกาะควรใช้กิ่งไม้ที่ไม่ทาสีมาทำเป็นคอนให้นกเกาะเหมือนธรรมชาติ





นกสายพันธุ์ไฮยาซิน...เป็นนกที่ฉลาดและน่ารัก มีประสาทตาไวมาก หากเจ้าของเอาใจใส่มันก็รักเราเหมือนที่เรารักมัน สามารถสอนให้เล่นจักรยาน หรือกิจกรรมต่าง ๆ ได้ แต่ต้องหมั่นฝึกฝน

ในยามที่มันมีอารมณ์อ่อนหวาน ...มักเข้ามาอยู่ใกล้ๆคลอเคลียกับเจ้าของก็จะดูแล้วน่ารักดี หากยามที่มันโกรธหรือไม่พอใจใคร จะตรงเข้าไปจิกกัดทันที...

เมื่อเลี้ยงกระทั่งโตเต็มวัยแล้ว สนนราคาขายกันในตลาดตั้งแต่ ตัวละ 450,000-500,000 บาท หากขายเป็นคู่ไม่ต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท ส่วนไข่ชาวต่างชาติ เช่น ไต้หวัน สิงคโปร์ ซื้อขายกันที่ใบละแสนเลยทีเดียว...

...โอ้โห...!! ใครทำแตกซักใบ...ลมใส่แน่นอน...!!

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

"เนเธอร์แลนด์ ดวอร์ฟ" กับการเลี้ยงกระต่ายอย่างเข้าใจ


กระต่ายหูตั้งแสนซน พันธุ์ "เนเธอร์แลนด์ ดวอร์ฟ" (Netherland Dwarf) เรียกกันสั้น ๆ ว่า ND เป็นกระต่ายพันธุ์ฮิตอันดับต้น ๆ ของวงการ ด้วยความน่ารักแสนซน โดดเด่นที่ใบหูเล็ก ๆ ที่ตั้งคู่ขนาน ทั้งยังมีขนสั้น แต่นุ่มมือ แถมมันวาวน่าสัมผัส

ลักษณะที่ดีของกระต่ายพันธุ์นี้ก็คือ หูสั้นประมาณ 1 นิ้ว ตั้งขึ้นขนานกัน หรือหูยาวไม่เกิน 2 นิ้ว มีโครงสร้างสมส่วน โดยหัวและลำตัวควรมีสัดส่วน 1: 2 เมื่อกระต่ายนั่งจะมีลักษณะคล้ายลูกบอล 3 ลูก เรียงกัน และขนต้องสั้น หนาแน่น ไม่หยาบกระด้าง เมื่อลูบย้อนแนวเส้นขนจะคืนตัวได้เร็ว

นอกจากนี้ ND ยังมีสีที่หลากหลาย แบ่งออกเป็นกลุ่มสีต่าง ๆ อาทิ กลุ่มสีพื้น (ขนสีเดียวกันตลอดทั้งตัว) กลุ่มสีเฉด (มีความเข้มของสีขนในแต่ละตำแหน่งของตัวไม่เท่ากัน ที่ชัดเจนคือ จมูกและขาทั้งสี่) บางตัวมีแต้มสีน้ำตาลแดงเข้ม เหมือนสีของแมววิเชียรมาศ เรียกสี ไซมีส ซาเบิ้ล (Siamese Sable) แต่หากในขน 1 เส้น ของกระต่ายมีมากกว่า 1 สี ในขนเส้นเดียวกัน จะจัดเป็น กลุ่ม สีขนอะกูติ (Agouti) เช่น สีชินชิลล่า เป็นสีเทาแซมดำที่ปลายขนเหมือนสีตัวชินชิลล่า หรือสีกระรอก คือเป็นขนสีเทา แต่มีสีเทาเข้มที่ปลายขน หรือถ้ากระต่ายมีมาร์กกิ้งหรือสีต่าง ๆ พาดที่คอ ก็จัดเป็นกลุ่มมีสร้อย ซึ่งแบ่งได้อีกหลายประเภท

เรื่องนิสัยของเจ้าหูตั้ง แตกต่างกับพันธุ์หูตกอย่างสิ้นเชิง อาจเพราะรูปร่างที่เล็กคล่องตัวกว่า ND จึงได้รับการขนานนามว่าเป็นกระต่ายแสนซน ชอบวิ่ง ไม่ยอมหยุดเฉย หลายตัวขี้วีน ขี้หงุดหงิด ไม่ชอบให้ใครมาจับหรือวุ่นวาย ถ้าจนมุมก็จะข่วนแสดงอารมณ์ แต่ก็มีบางตัวเรียบร้อย บางตัวขี้อ้อน แต่โดยสัญชาตญาณของกระต่ายมักกลัวความสูง ผู้เลี้ยงจะต้องระวังให้มากในการอุ้ม ซึ่งการอุ้มที่ถูกวิธี ไม่ควรรวบหูกระต่ายแล้วหิ้วเป็นเด็ดขาด เนื่องจากเป็นประสาทส่วนสำคัญของกระต่าย ขณะที่การอุ้มอย่างถูกวิธีคือ การจับส่วนหนังบริเวณคอแล้วอุ้มก้นกระต่ายไว้ หรือจับนอนหงายอุ้มกระต่ายไว้ในอ้อมกอด กระต่ายจะนิ่งลง บางตัวแอบหลับไปเลยก็มี

แม้จะรู้จักลักษณะและนิสัยของกระต่าย แต่ไม่ได้หมายว่าจะเริ่มเลี้ยงกันได้ง่าย ๆ เพราะต้องเข้าใจในเรื่องธรรมชาติของกระต่ายและการเลี้ยงที่เหมาะสมด้วย

คุณปิยะลักษณ์ สาริยา หรือ คุณเดียว เจ้าของ "บันนี่ ดีไลท์" ฟาร์มกระต่ายพันธุ์ดี ในอำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี บอกว่า คนที่คิดเลี้ยงกระต่าย ควรทราบวัตถุประสงค์ก่อนว่าจะเลี้ยงเพื่ออะไร ต้องการเลี้ยงเพื่อความสุขของคุณและกระต่าย หรือถ้าจะเลี้ยงเพื่อการพัฒนาสายพันธุ์ในตำแหน่งบรีดเดอร์ ก็ต้องเลี้ยงอย่างบรีดเดอร์

"ที่บันนี่ ดีไลท์ เราเริ่มจากสายพันธุ์ที่ดีเป็นหลักจึงใช้อาหารเกรดพรีเมี่ยม เลี้ยงในห้องแอร์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าใครก็ตามที่เลี้ยงกระต่ายต้องเลี้ยงในห้องแอร์ แต่ต้องมีอากาศถ่ายเท มีลมผ่านให้เขาได้ระบายความร้อน อย่างสุนัขระบายความร้อนด้วยลิ้น ที่เขาชอบอ้าปากแลบลิ้นแฮะ ๆ แต่หม้อน้ำระบายความร้อนของกระต่ายก็คือ หู เพราะฉะนั้นหากเขาต้องอยู่กับพื้นที่ที่ร้อนมาก สิ่งที่กระต่ายจะทำก็คือ ทิ้งขนหู ขนหูเขาก็จะบางลง และอาจจะมีผลไปยังรุ่นลูกหลานต่อไป คือหูจะยาวขึ้นเรื่อย ๆ เพราะระบายความร้อนไม่ทัน เขาก็จะต้องขยายหม้อน้ำขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายความว่าสิ่งแวดล้อมอาจมีผลต่อพัฒนาการของกระต่ายด้วย"

ทั้งนี้ หูกระต่ายที่ยาวขึ้นอาจจะไม่เห็นผลชัดเจนในเวลาอันสั้น แต่การเลี้ยงในที่ที่ร้อนเกินไปจะเห็นผลทันตากับ ND ก็คือ สารเคลือบขนมัน ๆ หรือแวกซ์ที่กระต่ายจะปล่อยออกมาเพื่อสร้างความอบอุ่นและทำให้ขนนุ่มสวยจะลดน้อยลง อาจทำให้กลายเป็นกระต่ายขนหยาบ ไร้น้ำหนักได้

ควรเลี้ยงกระต่ายอย่างไร

ไม่ว่าจะเลี้ยงด้วยวัตถุประสงค์ใดก็ตาม กระต่ายจะต้องมีสุขภาพดีและมีชีวิตที่ยืนยาว ตั้งแต่เริ่มต้นนำกระต่ายมาเลี้ยง ไม่ใช่แค่จับโยนเข้ากรง วางอาหาร แต่เจ้าของต้องสังเกตตั้งแต่อาหารเดิมจากร้านค้าหรือผู้เลี้ยงคนเก่า ควรขออาหารและภาชนะเดิมมาด้วย เพื่อลดภาวะเครียดจากการย้ายบ้าน ถ้าเป็นไปได้อย่าเพิ่งเห่อ อุ้มกระต่ายเล่น อดใจไว้สัก 2 วัน ค่อยทำความคุ้นเคยกับกระต่าย โดยให้ดมมือระหว่างให้อาหาร

ส่วนอาหารสำหรับกระต่าย ถ้าใครอุดหนุนคนขายกระต่ายที่ยังไม่หย่านมแม่ คงต้องปวดหัวหนัก เพราะรอดยาก กินอะไรก็มักท้องอืดตาย แต่ถ้าเป็นกระต่ายวัยมากกว่า 45 วัน หรือหย่านมแล้วก็ค่อยยังชั่ว แต่ระยะแรกผู้เลี้ยงใหม่ควรให้อาหารชนิดเดิมก่อน พอเข้าวันที่ 3 จึงให้อาหารใหม่ที่ต้องการผสมลงไป ราว 15-20% และค่อย ๆ เพิ่มให้เป็นอาหารใหม่ทั้งหมดภายใน 5-7 วัน แล้วสังเกตว่ากระต่ายยอมกินอาหารใหม่และท้องเสียหรือไม่ และอย่าเพิ่งให้อาหารอื่น ๆ นอกจากอาหารสำหรับกระต่ายเพื่อความปลอดภัย

ถ้าครบ 7 วันอันตราย หลังจากย้ายบ้านใหม่ กระต่ายรอดและร่าเริง คราวนี้ก็เล่นทำความคุ้นเคยได้สบาย เน้นที่อาหารและน้ำที่สะอาด กรงสะอาด มีพื้นที่ออกกำลังอย่างเหมาะสม และได้รับการดูแลสุขภาพเป็นประจำ โดยสังเกตอาการทั่วไป อาทิ ท่านอนหมอบหลับแบบปกติไหม ดูการหายใจว่าจมูกกระดิกดี หรือมีเสียงฟืดฟาดหรือเปล่า ดมกลิ่นหูหรือสัมผัสว่าหูร้อนผิดปกติหรือไม่ กินอาหารน้อยลงหรือไม่ รวมถึงสังเกต "อึ" หรือมูลของกระต่าย ว่าลักษณะก้อนอึเป็นอย่างไร ถ้าปกติอึจะกลมโตและแห้งดี ไม่มีกลิ่น

แต่ในกรณีที่ผู้เลี้ยงใช้ผักสด หรือหญ้าสดเป็นอาหาร อึอาจจะนิ่มได้ไม่น่ากลัวนัก แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่อึค่อนข้างเหลวประมาณยาสีฟัน หรือเหลวติดก้นเกรอะกรังแถมมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ หรืออึเป็นเม็ดแต่ออกมาพร้อมกับมูกเป็นเมือกขุ่นข้นติดเศษหญ้า ถ้าอย่างนี้ ให้รีบเก็บตัวอย่างใส่ถุงพลาสติคแล้วพาไปหาหมอให้เร็วที่สุด เพื่อการรักษาอย่างถูกต้อง กรณีนี้อาจเกิดจากความเครียดของกระต่าย เพราะเมื่อกระต่ายเครียดร่างกายจะขับสารเคมีบางอย่างออกมา ทำให้ภาวะของจุลชีพช่วยย่อยอาหารในกระพุ้งลำไส้ผิดปกติไป ความสมดุลของจุลชีพอันประกอบด้วยแบคทีเรีย โปรโตซัว และยีสต์ ในสำไส้ก็รวน อาจมีโปรโตซัวมากเกินปกติ กระต่ายก็ถ่ายเป็นมูกได้ กินยาเช้า-เย็น 5 วัน ก็หายสนิท

อึกระต่ายอีกแบบที่ต้องทำความเข้าใจคือ "อึพวงองุ่น" อึแบบนี้ปลอดภัย เพราะเป็นความมหัศจรรย์ของระบบการย่อยของกระต่ายที่มักจะเกิดกับกระต่ายที่สมบูรณ์มาก มักถ่ายออกมาในเวลากลางคืน หากกระต่ายเหยียบจนเละมองไม่ออกให้สังเกตที่ก้นกระต่าย ถ้าไม่มีอึเหลวติดก้นก็ไม่ต้องตกใจ (แต่ถ้ามีอึพวงองุ่นกองไว้จำนวนมาก ควรลดอาหารเม็ดลง) ส่วนอึที่มีลักษณะเป็นก้อนกลมๆ แต่มีเส้นใยเชื่อมต่อกันเหมือนสร้อยไข่มุก นั่นหมายถึงการขับเส้นขนที่กระต่ายเผลอกลืนกินเข้าไปขณะกินอาหารหรือทำความสะอาดตัวเอง

แต่ถ้ากระต่ายถ่ายเหลวที่เกิดจากอาหารสกปรกมีเชื้อบิดหรือเชื้ออีโคไล แบบนี้น่ากลัว พ่อกระต่ายและคุณเดียวจึงฝากย้ำเรื่องความสะอาดของกรงและอาหาร อย่างผักสดกระต่าย ควรให้เมื่อกระต่ายอายุ 3 เดือน แต่ด้วยความสมบูรณ์ของลูกกระต่ายของบันนี่ ดีไลท์ กระต่ายบ้านนี้จึงสามารถกินผักได้ในวัยไม่กี่สัปดาห์ คุณเดียวจึงต้องล้างผักให้สะอาดมาก ด้วยน้ำยาล้างผัก 1 รอบ ต่อด้วยโซเดียมไบคาบอเนตอีก 1 รอบ ล้างออกต่อด้วยน้ำสะอาดไหลผ่าน และล้างด้วยน้ำด่างทับทิมอีกรอบหนึ่ง เพื่อให้ผักสำหรับกระต่ายปลอดเชื้อที่สุด

อาหารที่ไม่ควรให้กระต่ายกิน ก็คือ แตงกวา ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี ผักบุ้ง พวกนี้ไม่ควรให้กระต่ายเลย บางคนเข้าใจผิดคิดว่าอย่างไรก็เป็นผัก แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ในระยะแรกกระต่ายอาจจะไม่เป็นอะไร แต่หากสะสมไปนานๆ อาจจะทำให้มีผลต่อสุขภาพและกระต่ายอาจตายได้ บางตัวท้องเสียฉับพลันก็มี เพราะพืชตระกูลถั่วต่างๆ จะทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะได้ง่าย ผักที่แนะนำก็คือ คะน้า ผักกาดหอม กวางตุ้ง ขึ้นฉ่าย นานๆ ก็ให้กะเพราสักที ส่วน แครอต ไม่ต้องให้มาก เพราะแป้งเยอะ กินมากกระต่ายจะอ้วน" คุณเดียว บอกย้ำ

หากเข้าใจการเลี้ยงกระต่ายที่เหมาะสม โดยเฉพาะการให้อาหารแล้ว เชื่อว่าอย่างน้อยกระต่ายก็กินดีอยู่ดี เป็นเพื่อนเล่นไปได้อีกนาน

หยุด ! การกั้นเขตแดนของ แมวเหมียว


หยุดการกั้นเขตแดนของเจ้าเหมียว

ถ้าคุณมีแมวสักตัวอาศัยอยู่ในบ้าน พื้นที่ทั้งหมดจะเป็นของมัน แต่ถ้าหากคุณมีสมาชิกแมวเพิ่มขึ้น คุณก็จำเป็นต้องแบ่งสรรพื้นที่ให้พวกมัน คุณอาจแบ่งห้องโดยใช้ชิ้นเฟอร์นิเจอร์ การแบ่งพื้นที่อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยมาก ทุกครั้งที่บ้านของคุณมีสมาชิกแมวมาเพิ่ม คุณก็ต้องจัดสรรพื้นที่กันใหม่

ขั้นตอน 3 ขั้น หยุดการกั้นอาณาเขต

วิธีการจัดการกับการฉี่เพื่อกั้นอาณาเขตของแมวแบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน ขั้นตอนที่หนึ่งบางทีคุณอาจ ต้องพาแมวไปหาหมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแมวตัวผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ซึ่งทำให้มันฉี่ไม่เป็นที่เป็นทาง และเลอะเทอะออกมานอกกล่อง สัตวแพทย์จะช่วยคุณแก้ปัญหาได้โดยการใช้ยา ขั้นตอนที่สองต่อไป คือหาสาเหตุของพฤติกรรม สาเหตุที่ทำให้แมวฉี่ไม่เป็นที่เป็นทางมีได้หลายอย่าง เช่น มีการซ่อมแซมบ้านครั้งใหญ่ มีแมวตัวใหม่ หรือ มีเด็กแรกเกิดในบ้าน หากเหตุการณ์เข้าสู่ภาวะปกติ แมวก็จะหยุดฉี่เพื่อกั้นอาณาเขต หรือบางทีแมวฉี่ทั่วบ้าน เพราะกล่องสุขาไม่ใช่ที่ที่น่าเข้าไปทำธุระ

สุขาให้ดูน่าสนใจ

สาเหตุของปัญหาแล้ว คุณก็พร้อมที่จะแก้ปัญหาได้ในขั้นตอนที่ 3 การปรับสถานการณ์ ก็คือการปรับปรุงกล่องสุขาให้น่าสนใจให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ การปรับปรุงกล่องสุขาของมัน ไม่ได้หมายถึงการทำความสะอาดเป็นประจำเท่านั้น สิ่งสำคัญ เมื่อแมวไปเข้าห้องน้ำก็คือความสะอาด ความเป็นส่วนตัว และสามารถที่จะหลบหลีกจากผู้คนได้ ด้วยเหตุผลเหล่านี้ อย่าใช้เพียงแต่กล่องที่มีฝาปิด กล่องเหล่านั้นอาจจะไม่ส่งกลิ่นไปถึงคุณ แต่กลิ่นนั่นทำให้แมวเวียนหัว แม้ว่าแมวจะต้องการความเป็นส่วนตัว การวางกล่องไว้ที่มุมห้องก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะอาจทำให้แมวรู้สึกเหมือนติดกับดัก

ให้เจ้าเหมียวรู้สึกปลอดภัย

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการปลดปล่อยเจ้าเหมียวจากความเครียด เมื่อคุณเข้าไปจัดการกับการกั้นเขตแดนของมัน เจ้าเหมียวก็จะคิดว่าบ้านนั้นไม่มีความปลอดภัยอีกแล้ว แมวต้องการความรู้สึกปลอดภัยในอาณาเขตของมัน คุณควรแก้ปัญหาไปทีละขั้นตอน แมวมีแนวโน้มที่จะครอบครองเป็นเจ้าของ คุณอาจจะเห็นการครอบครองพื้นที่ ของมันโดยเริ่มต้นจากประตู และทางเดินไปห้องรับแขก สิ่งที่คุณจะต้องทำก็คือให้คุณใช้ประโยชน์จากพื้นที่ ส่วนนั้น แต่อาจต้องหมั่นเช็ดรอยสกปรก จนกว่าคุณจะพบกับต้นตอของปัญหาของการกั้นอาณาเขตที่แท้จริง

สรุป วิธีแก้ปัญหา แมวปัสสาวะผิดที่ผิดทาง แบ่งได้เป็น 3 ขั้นตอน คือ

แก้ปัญหาทางยา โดยการพาเจ้าเหมียวไปพบสัตวแพทย์ เนื่องจากแมวตัวผู้ มีแนวโน้มจะเป็นโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบและเที่ยวได้ฉี่เรี่ยราด ไม่ได้เป็นการจอง อาณาเขตซักหน่อย

หาสาเหตุของพฤติกรรม สาเหตุที่เป็นไปได้คือ การมีสัตว์เลี้ยงตัวใหม่ มีเด็กทารกเกิดใหม่ในบ้าน หรือมีการซ่อมแซมบ้าน

การปรับปรุงสถานการณ์ โดยทำให้แมวรู้สึกปลอดภัย ปรับปรุงกล่องสุขาของเจ้าเหมียว ให้น่าสนใจมากขึ้น ใส่ใจ และให้เวลากับมันมากขึ้น

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ฤดูหนาวกับการเลี้ยงดูลูกดูสุนัข


การเลี้ยงดูลูกสุนัขในฤดูหนาว (โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ)

ปลายฝนต้นหนาว ช่วงการเปลี่ยนฤดูใหม่ ๆ ไม่ใช่แค่คนเท่านั้นที่มีโอกาสเป็นไข้หวัด ในช่วงเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวนี้เองมักจะพบได้ว่าสุนัขแสนรักก็มีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคหลาย ๆ โรค โดยเฉพาะโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส สุนัขมักจะเป็นโรคติดต่อซึ่งไม่มียาตัวใดที่จะฆ่าเชื้อไวรัสนี้ได้ การที่จะทำให้สุนัขหายป่วยนั้น ก็ขึ้นอยู่กับระดับอุณหภูมิคุ้มกันของตัวสัตว์เอง การรักษาจึงเป็นเพียงการประคับประคอง โดยการให้น้ำเกลือ และป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เป็นต้น

โรคชนิดต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้กับลูกสุนัขในช่วงฤดูหนาว

ไวรัส canine herpevirus ลูกสัตว์แรกเกิดร่างกายมีอุณหภูมิต่ำ จะมีความไวต่อการติดเชื้อไวรัสนี้ ซึ่งเป็นสาเหตุของการตายในลูกสัตว์แรกเกิดที่อายุระหว่าง 9-14 วัน ลูกสุนัขสามารถติดต่อจากแม่สัตว์ผ่านทางน้ำลาย น้ำจากช่องคลอด จะมีอาการกระวนกระวาย ร้องตลอดเวลา ปวดท้อง หายใจถี่ อาจชักหรือเสียชีวิตภายใน 24 ชั่วโมง การรักษาทำได้เพียงแบบประคับประคอง ได้แก่ การให้สารน้ำทดแทน และการป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน เพราะไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้ ดังนั้นควรรักษาสุขภาพแม่สุนัขให้แข็งแรง ให้ลูกสุนัขอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นประมาณ 37 องสาเซลเซียส

โรคไข้หัดสุนัข canine distemper เกิดจาดการติดเชื้อไวรัส สามารถติดต่อได้หลายทางไม่ว่าจะเป็น ทางอุจจาระ น้ำลาย ปัสสาวะ น้ำมูก น้ำตา และที่สำคัญคือการติดต่อผ่านทางอากาศและการหายใจอาการในรายที่รุนแรงจะพบว่าสัตว์มีน้ำมูกน้ำตา ไอ หายใจลำบาก ท้องเสีย อาเจียน ปอดปวม บริเวณจมูกและฝ่าเท้าจะหนาตัวขึ้น และอาการทางประสาท เช่น ชัก อัมพาต การรักษาทำได้เพียงแบบประคับประคอง เช่นเดียวกัน โรคไข้หัดสุนัขสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีนและไม่สัมผัสกับสุนัขที่ติดเชื้อ เนื่องจากสภาพอากาศเย็นนั้นความชุ่มชื้นของทางเดินหายใจส่วนต้นจะน้อยทำให้กระบวนการป้องกันโรคของร่างกายทำงานได้ไม่เต็มที่ จะติดเชื้อต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

โรคติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ เกิดได้จากหลายสาเหตุด้วยกัน ทั้งไวรัส แบคทีเรีย หรือรวมกันทั้งสองอย่าง สามารถติดต่อทางการหายใจหรือสิ่งคัดหลั่ง พบได้บ่อยโดยเฉพาะแหล่งขายสุนัขที่เลี้ยงแออัด การระบายและสภาพแวดล้อมไม่ดี ร้อน หนาว หรือลมโกรกมากเกินไป มักแสดงอาการแบบเรื้อรัง มีไข้ไม่สูงนัก กินอาหารได้แต่น้อย ไอมีเสมหะ อาจพบน้ำมูกข้นเล็กน้อย การรักษาจึงทำได้เพียงแบบประคับประคอง เช่นเดียวกันแต่ถ้าไม่รักษาอาจปอดปวม หายใจลำบาก และเสียชีวิตได้ ควรป้องกันโดยปรับสภาพแวดล้อม ออกกำลังกาย อยู่ในที่ที่อบอุ่น

ทั้งนี้ อาจจะใส่เสื้อสำหรับสุนัขเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย จากทั้งหมดที่กล่าวมาพบว่า เรามักจะพบอัตราเสียชีวิตสูงที่สุดในลูกสุนัข ส่วนในรายสุนัขที่โตแล้วนั้น พบว่าอัตราการเสียชีวิตจะน้อยลงเนื่องจากร่างกายสามารถสร้างภูมิต้านทานได้ ดังนั้น การทำวัคซีนตามโปรแกรมในลูกสุนัขเป็นการป้องกันโรคที่ดีอย่างหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม เจ้าของสุนัขควรตรวจเช็คประวัติวัคซีนประจำปี บำรุงรักษาสุขภาพร่างกายของสัตว์ให้แข็งแรง ได้รับโภชนาการที่เหมาะสม มีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และงดการนำสุนัขไปพบปะกับสุนัขที่มีประวัติวัคซีนที่ไม่แน่นอน และพยายามให้ร่างกายสุนัขอบอุ่นอยู่เสมอ เท่านี้ก็สามารถช่วยลดอัตราการเกิดโรคไวรัสในช่วงหน้าหนาวนี้ได้แล้ว

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

น้องหมามีหนวด ชเนาเซอร์

ชเนาเซอร์..หมาสมองคน เลี้ยงได้แต่ต้องรู้จริง
สุนัข....หมายถึงผู้ที่มีเล็บงาม ปัจจุบันมีผู้หลงใหลที่อยากจะเลี้ยงมัน ให้เป็นเพื่อนในครอบครัว....นอกเหนือจากชนบางกลุ่มที่นิยมเปิบเนื้อของมัน
หลายรายนิยมที่จะปรับสายพันธุ์สุนัขให้มีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม บรรยากาศของสภาพของภูมิประเทศ เพื่อเอื้อต่อสภาพในการดำรงชีพของมัน ซึ่งก็มีหลายพันธุ์ทั้งที่เป็นของท้องถิ่นและข้ามชาติ เช่น มิเนียเจอร์ ชเนาเซอร์ เป็นสายพันธุ์ หนึ่งจากออสเตรเลีย อันเป็นสุนัขเลี้ยงแกะของแคว้นทีรอล ซึ่งปัจจุบันผู้เลี้ยงในประเทศไทยให้ความสนใจ
นายเมธี ลีลาบันจง หนุ่มกรุงเทพฯ เล่าให้ “หลายชีวิต” ฟังว่า...รู้สึกชื่นชอบสุนัขสายพันธุ์นี้เพราะว่าตัวไม่ใหญ่ บุคลิกแข็งแรง ตื่นตัว คล่องแคล่ว หน้าตามีเอกลักษณ์ มีคิ้ว มีหนวด สอนง่ายไม่ผลัดขน ไม่มีกลิ่นสาบ
ชเนาเซอร์ สามารถอยู่อากาศบ้านเราได้สบายไม่ต้องอยู่ห้องแอร์ เลี้ยงในอพาร์ตเมนต์คอนโดก็สะดวก แล้วแต่เราจะปรับเปลี่ยนว่าเขาควรจะอยู่อย่างไร และเหมาะกับผู้ที่เป็นภูมิแพ้ ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ ....จึงทำการปรับปรุงเพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่ดี เหมาะกับสภาพอากาศในบ้านเรา รูปลักษณ์ ชเนาเซอร์ ที่ดีดูไม่ยาก ควรดูเมื่ออายุเกิน 2 เดือนไปแล้ว เพราะจะสามารถสังเกตได้ง่ายว่า โตขึ้นเป็นแบบไหน เข้ากับเราได้หรือไม่ ซึ่งขนาดรูปร่าง ชเนาเซอร์ ที่ได้มาตรฐานจะมีขนาดตั้งแต่ 12-14 นิ้ว วัดจากพื้นถึงไหล่ ถ้าต่ำหรือเกินกว่านี้ จะเป็น สุนัข ชเนาเซอร์ ที่ไม่ได้มาตรฐาน
จุดเด่นที่นิยมกัน ชเนาเซอร์ ตาต้องกลมสีน้ำตาลหรือดำไม่โปน ปากและหัววัดแล้วจะต้องยาวเท่ากัน กระบอกปากอาจยาวกว่าหัวได้เล็กน้อย จมูก สีดำสนิท หนวดเคราหนาดก ขน ดำสลับกันในลายหรือแต้มตามลำตัว สายพันธุ์ ชเนาเซอร์ มีด้วยกัน 2 สี สีพริกไทยหรือเกลือ คือสีเทาและสีดำ
ทั้งนี้ ชเนาเซอร์ เป็นสุนัขที่มีชีวิตชีวาระวังระไว สนใจและสำรวจสภาพแวดล้อมที่เขาอยู่ เสมอๆพวกเขาอยากรู้อยากเห็น และฉลาด มีคนกล่าวบ่อย ๆ ว่า ชเนาเซอร์ เป็นสุนัขที่มีสมองมนุษย์
ก่อนที่จะตัดสินใจเลี้ยง ชเนาเซอร์ เราควรดูล้วงลึกลงไปถึงแก่นแท้ในแง่มุม "ชีวิต" ของมันว่า...นิสัยเราเหมือนหมาหรือ นิสัยหมาเหมือนเราหรือไม่.....อย่ามองเพียงความน่ารักในขณะที่เขายังเล็ก เพราะหากมันโตขึ้นมาแล้วนิสัยเข้ากันไม่ได้ก็จบเห่...!!!

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ปอร์ตุกีส วอเตอร์ด็อก "หมาน้ำ" แห่งทำเนียบขาว

วอเตอร์ด็อก (Water dog) มี นิสัยกระตือรือร้น เฉลียว ฉลาด ร่าเริง เชื่อฟังคำสั่ง เรียนรู้ได้เร็ว ฉลาด มีความยืดหยุ่นสูง เด็ดเดี่ยว คึกคักตลอดเวลา มองโลกในแง่ดี อีกทั้งมันยังชอบว่ายและดำน้ำ ฝึกให้คาบเครื่องมือหาปลาที่ชำรุดกลับมายังชายฝั่ง เมื่อออกทะเลสามารถให้ช่วยไล่ต้อนฝูงปลา ส่งสารระหว่างชาวประมงที่อยู่ในน้ำกับคนบนฝั่งได้
...พวกมันปรับตัว อดทนได้เป็นอย่างดีแม้สภาพอากาศของทะเลจะแปรปรวน เลวร้ายซักเพียงใด เจ้า หมาน้ำ จะมีรูปร่างขนาดกลางไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป กล่าวคือ
หัว ขนาดใหญ่ได้สัดส่วน มีรอยย่นตรงกลางหน้าผาก
ดวงตา กลมสีน้ำตาลเข้มจนถึงดำขลับซึ่งถือว่าเป็นลักษณะดี บริเวณโดยรอบดวงตามีสีดำ น้ำตาล หรือขาว หางตา ไม่ตก
ปาก หนา กว้างเป็นสีน้ำตาล จมูก ใหญ่ สีดำ น้ำตาลเข้ม หรือขาว ซึ่งสองส่วนนี้จะยื่นออกมาจากกะโหลกด้านบน
เหงือก สีค่อนข้างคล้ำ แต่บางตัวอาจเป็นสีดำ น้ำตาลเข้ม ดำสลับ หรือขาวล้วน เมื่อหุบปากต้องไม่เห็นฟันยื่นออกมา ฐานของจะงอยปาก ต้องกว้างกว่ากะโหลก
ใบหู อยู่ระดับเหนือดวงตา ไม่ตกลู่ต่ำกว่าระดับขากรรไกร ซึ่งมีพละกำลังแข็งแรง ส่วนท้ายทอยกว้าง ช่วงลำคอ สั้น ตั้งตรง เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อไม่มีเหนียงยื่นออกมา อก กว้างมีระดับพอดีกับส่วนข้อต่อของขาหน้า ผิวหนัง สีชมพู ลำตัว เพรียว มองภาพรวมทั้งหัวกับส่วนกะโหลก โค้งเป็นรูปโดม
สะโพก กลมกลึงมีความสมดุลกับช่วงลำตัว
หลัง ได้ขนาด แนวขา ตรงขนาน
ขน หนา มีสีหลากหลาย
หาง ซึ่งหลายคนบอกว่ามีส่วนช่วยในการว่ายน้ำจะชี้ตรง แต่ถ้า ปอร์ตุกีส วอเตอร์ด็อก อยู่ในภาวะตื่นตัว ระวังภัยจะม้วนเป็นวง
ขนาด สัดส่วนตัวผู้ซึ่งเป็นหนุ่มเต็มที่มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 20-23 นิ้ว เพศเมีย 17-21 นิ้ว และความยาวช่วงลำตัวต้องมากกว่าส่วนสูง โดยวัดจากช่วงปลายจมูกไปถึงสะโพกส่วนล่าง แต่ขนาดนิยมและนับว่าสมบูรณ์แบบสุดในเพศผู้ ความสูงที่ 22 นิ้ว ส่วน น้องหมาสาว ความสูง 19 นิ้ว จัดว่าเป็น สุดยอดแห่ง... ปอร์ตุกีส วอเตอร์ด็อก ที่ดีสุด
จากการใช้ฝีปากที่แข็งแกร่ง บวกกับความทรหดทนน้ำ ทนอากาศ ส่งผลให้ชาวประมงโปรตุเกส ยกให้พวกมันเป็นเพื่อนข้างกายที่ซื่อสัตย์ มานานหลายศตวรรษ มิหนำซ้ำในทศวรรษนี้ มันยังถูกคัดเลือกให้ เป็น "สุนัขหมายเลข 1" ประจำทำเนียบขาวปี 2009...
แต่ยังไงซะก็อย่ามองข้ามธรรมชาติของสัตว์หน้าขน ที่บางครั้งก็มีพฤติกรรมแปรปรวนไปจนถึงขั้น ดุร้าย ได้เช่นกัน!!

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อาหารทีเป็นพิษกับสุนัข



1. ก้าน ใบ เมล็ด ของ แอปเปิ้ล อัลมอนด์ แอปริคอต พีช เชอรรี่ป่า ลูกพลัม ลูกแพร์ ลูกพรุน และผลไม้ที่คล้ายๆ กัน จะทำให้เกิดอาการท้องร่วง อาเจียน ปวดท้อง โดยเมล็ดของผลไม้เหล่านี้ส่วนใหญ่จะมีไซยาไนด์ ซึ่งเป็นพิษทั้งกับคนและน้องหมา

2. อโวคาโด ทั้งผล เมล็ด ลำต้น เป็นพิษกับสุนัขทั้งหมด เป็นสาเหตุให้หายใจลำบาก น้ำท่วมปอด เจ็บหน้าอก ปวดท้อง

3. บลอคโคลี่ ทำให้เกิดแก๊สในท้องจำนวนมาก

4. เชอร์รี่ ทำให้หายใจเร็ว ช็อค ปากบวมเห่อ อัตราการเต้นขอวหัวใจเร็วขึ้น

5. ช็อคโกแล็ต ยิ่งอบยิ่งอันตรายมาก ที่น้องม๋าทานซ็อคโกแล็ตไม่ได้เพราะสาร theobromine ในเม็ดโคคาเป็นอันตรายต่อน้องม๋า ถ้าได้รับในปริมาณมากจะทำให้เกิดลมชักตายได้

6. ชา กาแฟ มีคาเฟอีน และน้ำตาล อาจจะทำให้เกิดอาการคล้ายๆ กับการกินช็อคโกแล็ต
7. กระดูกที่ทำให้สุกแล้วไม่ควรให้สุนัขกิน เพราะขั้นตอนที่ย่อยอาจจะเป็นอันตรายกับอวัยวะข้างใน แต่กระดูกที่ดิบกินได้ปลอดภัยกว่า

8. เห็ด จะทำให้อาหารไม่ย่อย มีผลในการทำลายต่อตับไต เกิดอาการ ปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน

9. ลูกจันทน์ จะเกิดอาการใจสั่น หรืออาจเกิดอาการลมชักอย่างปัจจุบันทันด่วน และตาย

10. ยาสูบ ทำให้น้ำลายฟูมปาก คลื่นไส้ อาเจียน ภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ

11. หัวหอม เกิดแก๊ส ทำให้ (ร่างกาย) ไม่ปกติ อ่อนกำลัง ทำลายเม็ดเลือดแดง

12. องุ่น ลูกเกด ลูกพรุน ทำให้ไตล้มเหลว ถึงตายได้แม้องุ่นเพียงนิดเดียว

13. เกลือ ถ้ากินมากเพราะจะมีผลต่อไต

14. ไข่ดิบ อาจมีเชื้อเชื้อแซลโมเนลล่าทำให้สุนัขเกิดโรคทางเดิน อาหารได้ แต่ไช่สุกทานได้

15. ถั่วแมคคาดาเมีย ถั่วแมคคาดาเมีย จะทำให้กล้ามเนื้อสุนัขอ่อนแรง เกิดความหดหู่ อาเจียน การไม่ประสานกัน ใจสั่น เป็นไข้ ปวดเกร็งท้อง อาการเพลียของกล้ามเนื้อ โดยจะส่งผลกับขาหลังของสุนัขมากกว่าขาหน้า บางทีขาหลังอาจเป็นหนักถึงอัมพาต อาการเหล่านี้จะหายไปหลังจากกินถั่วนี้ไปแล้ว 72 ชั่วโมง

วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แมว อเมริกัน เคิร์ล American Curl แมวน่ารัก หูพลิก


แมวพันธุ์ อเมริกัน เคิร์ล American Curl ถือเป็นแมวที่มีชื่อเสียงมากอีกพันธุ์หนึ่ง ด้วยลักษณะเด่นของ American Curl คือ มีหูม้วนหลุบไปข้างหลัง เป็นลักษณะเฉพาะที่ไม่เหมือนแมวพันธุ์อื่น อเมริกัน เคิร์ล เป็นแมวที่ร่าเริงไม่ดุ มีนิสัยเป็นมิตรกับผู้คน ซื่อสัตย์ เข้ากันได้ดีกับเด็ก ๆ และสัตว์อื่นในบ้าน ว่ากันว่า อเมริกัน เคิร์ล มีลักษณะคล้ายสุนัขอีกด้วย
ประวัติ แมว อเมริกัน เคิร์ล American Curl แมว อเมริกัน เคิร์ล American Curl ถูกค้นพบในชุมชน California ของ Lakewood โดย Joe และ Grace Ruga ในเดือนมิถุนายน ปี ค.ศ.1981 Joe กลับจากทำงานตอนเย็นนั้นและพบลูกแมว 2 ตัวอายุ 6 เดือน ภายนอกบ้านของเขา จึงรับมาเลี้ยงดู พวกเขาตั้งข้อสังเกตว่าพวกมันมีหูที่เป็นวงนั้นจากหลังถึงหัว ดูแล้วเป็นที่น่าขัน ลูกแมวตัวที่เป็นพี่ มีสีดำกับขนยาวและอีกตัวหนึ่ง มีขนสีดำ และสีขาวและขนกึ่งยาว ทั้งสองมีขนนุ่มเป็นมันเรียบคล้ายไหม ลูกแมวทั้งสองถูกตั้งชื่อว่า Shulamith และ Panda
ต่อมาในเดือนธันวาคม ค.ศ.1981 หลังการตกลูกครอกแรกของ Shulamith พวกเขาจึงได้มองเห็นถึงการมีใบหูที่มีลักษณะที่พิเศษไม่เหมือนใครของมัน แสดงถึงการค้นพบพันธุ์ใหม่ของแมว พวกเขาเริ่มต้นการวิจัยและการทดสอบเพาะพันธุ์โดยทันที ซึ่งนำมาสู่การยอมรับและได้รับการจดทะเบียนเป็น อเมริกัน เคิร์ล American Curl แมวพันธุ์ใหม่ของโลกในปี ค.ศ.1986 ซึ่งแมวพันธุ์นี้ถือว่าเป็นแมวที่สามารถแบ่งพันธุ์ได้ทั้งสองชนิดคือมีทั้ง แบบ Shorthair และ Longhair
ลักษณะทั่วไปของ แมว อเมริกัน เคิร์ล American Curl
แมว อเมริกัน เคิร์ล American Curl ตัวผู้จะมีลักษณะสวยงามและสง่างามกว่า แมว อเมริกัน เคิร์ล American Curl ตัวเมีย โดยเพศเมียมีน้ำหนักประมาณ 5-8 ปอนด์ เพศผู้หนักประมาณ 7-10 ปอนด์ โตเต็มที่เมื่ออายุ 2 ปีครึ่งถึง 3 ปี เมื่อแรกเกิด ลูกแมว อเมริกัน เคิร์ล American Curl หูจะยังไม่พลิก แต่เมื่อผ่านไปราว 2 สัปดาห์ หูก็จะเริ่มพลิกม้วนไปด้านหลังมากขึ้น จนเมื่ออายุได้ 16 สัปดาห์ หูจะเริ่มพลิกไปด้านหลังอย่างถาวร โดยหูจะม้วนไปข้างหลังอย่างน้อย 90 องศา แต่ไม่ถึง 180 องศา
ลักษณะเด่นของแมวพันธุ์นี้ นอกจากจะมีหูพลิกแล้ว ยังมีร่างกายขนาดกลางที่สมส่วน ขนเป็นมันหนาแน่น ดวงตาเป็นรูปวอลนัท โดยขนจะไม่ยาวมาก เป็นแบบกึ่งสั้นกึ่งยาว ขนจะเรียบไม่ฟู แมว อเมริกัน เคิร์ล American Curl มีหลากหลายสีและรูปแบบ เนื่องจากขนที่หนาแน่นนี้เอง ทำให้ แมว อเมริกัน เคิร์ล American Curlต้องการการดูแลขนมากเป็นพิเศษ
ศีรษะ
รูปร่าง: เป็นรูปลิ่มไม่แบนราบ อย่างพอประมาณยาวกว่ากว้าง ระนาบราบรื่น
โครงร่าง: จมูกมี ความยาวและตรงพอประมาณ และนูนล็กน้อยขี้นจากด้านล่างของตาถึงหน้าผาก เส้นโค้งที่ได้รูปไปถึงด้านบนสุดของหัว ไปจนถึงใต้ลำคอ
ขนาด: ปานกลางในสัดส่วนเมื่อเทียบกับร่างกาย
คาง: แน่น แข็ง,แนวเดียวกับจมูกและริมฝีปากล่าง
ใบหู
องศา: น้อยที่สุด 90 ส่วนโค้งองศาเป็นวง ไม่เกิน 180 องศา แน่นด้วย cartilage จากพื้นฐานหูถึงอย่างน้อย 1/3 ของความสูง
รูปร่าง: กว้างที่ฐานและเปิด, เส้นโค้งหลังในส่วนโค้งราบเรียบเมื่อดูจากด้านหน้าและด้านหลัง
ขนาด: ใหญ่อย่างพอประมาณ
ที่ตั้ง: ตั้งตรงอยู่บริเวณส่วนบนแต่ละด้านของหัวอย่างเท่าๆกัน
หมายเหตุ: เมื่อหูมีการตื่นตัวเกิดขึ้น หูจะเหยียดชี้ตรงไปด้านหน้า, เส้นตามความโค้งของหูจะชี้ไปยังศูนย์กลางฐานของกระโหลกศีรษะ(เส้นโค้งที่ลากผ่านตามความโค้งของหูผ่านปลายสุดของหูเลย 90 และสูงถึง180 องศา อาจจะ intersect ที่จุดไกลกว่าขึ้นบนกระโหลกศีรษะ แต่ไม่เลยจุดสูงสุดของกระโหลกศีรษะ)
ร่างกาย
ดวงตา : ใหญ่ กลมรีเหมือนเมล็ดอัลมอนด์ สี Hazel เขียว หรือเหลือง เท่านั้น มีเส้นสีดำ รูปร่างลำตัว : กึ่งต่างประเทศ เป็นสี่เหลียมผืนผ้า, ความยาว 1 และ 1 ใน 2 ความสูงที่บ่า, ความลึกกลางของหน้าอกและสีข้าง
ขนาด : ปานกลาง, แต่ตัวผู้มักขนาดใหญ่กว่า ลักษณะกล้ามเนื้อ : ความแข็งแรงพอประมาณและน้ำเสียงมีการ เปลี่ยนแปลง
หาง : งอได้, กว้างที่ฐาน,เรียวเท่าตลอดความยาวร่างกาย
ขา : ความยาวปานกลางในสัดส่วนเพื่อร่างกายตั้งโดยตรงเมื่อดูจากด้านหน้าหรือด้านหลัง ขนาดกระดูกปานกลางไม่ใหญ่และหนัก
คอ : ปานกลาง
เท้า : ปานกลาง
ลักษณะนิสัย แมว อเมริกัน เคิร์ล American Curl
แมวพันธุ์นี้จะไม่ค่อยเปล่งเสียงร้องบ่อยนัก จะมีเพียงแต่เสียงเล็ก ๆ ครางในลำคอเท่านั้น

วันพุธที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2552

อาหารสำเร็จรูปเจ้าตูบ

เลือกอาหารสำเร็จรูปให้เจ้าตูบ
คงต้องยอมรับว่าทุกวันนี้ตลาดอาหารสำเร็จรูปของสุนัขนั้น เติบโตขึ้นอย่างมาก จะเห็นได้จากอาหารสุนัขสำเร็จรูปมากมายหลายยี่ห้อ พาเหรดกันเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละยี่ห้อต่างก็มีคุณสมบัติที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไป
เมื่อในท้องตลาดมีอาหารสำเร็จรูปสำหรับสุนัขวางขายอยู่มากมาย บางครั้งการที่จะเข้าไปเลือกซื้อก็อาจทำให้เจ้าของสุนัขบางท่านรู้สึกสับสนได้ว่าจะเลือกซื้อยี่ห้อไหนดี ถึงจะให้ประโยชน์แก่เจ้าตูบอย่างสูงสุด มาดูกันว่าวิธีการเลือกอาหารสำเร็จรูปให้กับเจ้าตูบนั้น เราจะพิจารณาในเรื่องใดบ้าง
สารอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของสุนัข
คาร์โบไฮเดรต
เป็นแหล่งสำคัญที่ให้พลังงานแก่สัตว์ทั้งหมด มีแหล่งที่มาจากพืช เช่น Ground corn (ข้าวโพด), Wheat (ข้าวสาลี), Barley (ข้าวบาร์เลย์) เป็นต้น
โปรตีน
ร่างกายจะดูดซึมกรดอะมิโนที่จำเป็นจากแหล่งโปรตีนประเภทเนื้อสัตว์ได้ดีกว่าพืชโดยเฉพาะโปรตีนจากเนื้อไก่ ส่วนโปรตีนจากพืชบางชนิด เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลืองจะมีสารบางอย่างที่ขัดขวางการยอ่ยทำให้ร่างการสุนัข ไม่สามารถดูดซมสารอาหารไปใช้ประโยชน์ได้เต็มที่
ไขมัน
ควรมีแหล่งที่มาจากไขมันสัตว์เพราะสุนัขสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าไขมันจากพืช
เส้นใยอาหาร
ควรได้มาจากเส้นใยของพื้ชที่ร่างกายสัตว์ไม่สามารถย่อยได้แต่จำเป็นต้องมีเพื่อช่วยในการย่อย อาหารของแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่เช่น Beet Pulp (เส้นใยจากหัวบีท) และไม่ควรมีเกินกว่า 5% เพราะจะไปขัดขวางการดูดซึม สารอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ วิ
ตามิน/เกลือแร่
เป็นส่วนที่มีอยู่น้อยแต่สำคัญและขาดไม่ได้ เนื่องจากมีผลต่อความมันเงาของขนสัตว์เลี้ยง
วัตถุกันเสีย
ควรใช้สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น วิตามินอี และวิตามินซี เป็นต้น นอกจากนี้ การตัดสินใจเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปนั้นต้องดูจากปัจจัยหลาย ๆ อย่างประกอบกัน เป็นต้นว่า ราคาของสินค้าและคุณภาพผลิตภัณฑ์ เป็นต้น

การเลือกซื้ออาหารสำเร็จรูปสำหรับสุนัข
1. ให้ดูที่ฉลากว่าได้ผ่านการรับรองจากกรมปศุสัตว์แล้วให้ดูข้างถุงหรือกระป๋องจะมีทะเบียนอาหารสัตว์อย่างถูกต้อง ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าอาหารนี้ผ่านการตรวจสอบคุณภาพมาแล้ว
2. ให้ดูวันหมดอายุทุกครั้งที่ซื้อ อาหารก็มีวันหมดอายุให้ดูทุกครั้งที่กระป๋องหรือถุง และหากใกล้วันหมดอายุก็ไม่ควรซื้อมา เพราะจะเก็บไว้ไม่ได้นาน
3. ไม่ควรซื้ออาหารแบบแบ่งขาย เพราะไม่มีฉลากและวันหมดอายุบอกไว้ เราจึงไม่ทราบที่มา และอาจไม่ปลอดภัยต่อสุนัขด้วย เพราะอาจเก็บไว้ไม่ดี ทำให้อาหารสดใหม่
4. การเลือกให้เลือกตรงกับช่วงวัยของสุนัข เพราะทางผู้ผลิตจะระบุสัดส่วนโปรตรีนที่เหมาะสมมาแล้ว และรูปแบบของอาหารก็เหมาะกับสุนัขแต่ละวัย ดังนั้นให้ดูว่าสุนัขของคุณอยู่ในวัยไหนก็เลือกแบบนั้น
5. การเก็บอาหารต้องให้สะอาด การเก็บอาหาร ควรเก็บอย่างสะอาดและกันลมเข้าจะทำให้เหม็นหืนได้ง่าย และอาหารจะไม่กรอบ สุนัขก็จะไม่รับประทาน ดังนั้นเมื่อเปิดถุงแล้วควรหาภาชนะที่ปิดสนิทมาไว้ใส่อาหาร
เมื่อเราเลือกอาหารที่ดีมีประโยชน์ และมีคุณภาพสูงให้กับสุนัขแล้ว ก็คงไม่จำเป็นต้องให้อาหารเสริมอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก นอกจากจะช่วยทำให้สุนัขมีสุขภาพดี ยังเป็นการประหยัดรายจ่ายได้อีกทางหนึ่งด้วย

เหมียวพันธุ์อเมริกัน บ็อบเทลล์


อเมริกัน บ็อบเทล แมวพันธุ์นี้ มองในครั้งแรกคุณจะเห็นเหมือนเป็นบ็อบแคทธรรมดา แต่ถ้าหันมาเพ่งดูแล้วคุณก็จะเห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าทึ่งที่จะทำให้คุณหลงรักมันได้ในทันที แค่ได้สบตากับมันคุณก็จะรู้สึกตะลึงกับความน่ารัก ขนที่สะอาด ดูเป็นระเบียบ และอเมริกัน บ็อบเทล มักกระพริบตาให้ จนคุณอดไม่ได้ที่จะเข้าไปจับขนที่หนานุ่มและอุ้มมันขึ้นมา

แต่ทันทีที่คุณเอื้อมมือไป มันจะยืนขึ้นและเหยียดตัวทำให้คุณได้เห็นร่างกายที่แข็งแรงและหางที่สั้นตามธรรมชาติ ซึ่งแน่ใจได้เลยว่ามันมีความเป็นสัตว์ป่าอยู่ในตัว และเจ้าแมว อเมริกัน บ็อบเทล มันจะค่อย ๆ เดินเข้ามาหาคุณเพื่อเรียกร้องความสนใจและเมื่อ คุณอุ้มมันขึ้นมาก็จะต้องทึ่งในลักษณะท่าทางของมัน นอกจากนี้ ความฉลาดและความอ่อนโยนก็จะทำให้คุณรัก อเมริกัน บ็อบเทล มากที่สุด
สำหรับรูปร่างและลักษณะนิสัยของ อเมริกัน บ็อบเทล มีตั้งแต่ขนาดกลางไปจนใหญ่ เป็นสัตว์ที่มีความเป็นนักกีฬา มีกล้ามเนื้อและพละกำลังแข็งแรง ร่างกายยาวพอสมควรและมั่นคง มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า หางควรจะมองเห็นอย่างชัดเจนเหนือหลังเวลาที่มันตกใจและความยาวต้องไม่เกิน หัวเข่า หางที่ดีจะต้องเกือบตรงมีส่วนโค้งเล็กน้อย แมวพันธุ์นี้มีหัวเป็นรูปลิ่มแข็งแรงได้ขนาดและมีคิ้วที่เด่นชัดอยู่เหนือ ดวงตาคู่ใหญ่รูปร่างคล้ายอัลมอนด์ทำให้มันมีความเป็นนักล่าโดยธรรมชาติ การแสดงออกทางสีหน้าและท่าทางก็แสดงให้เห็นถึงความฉลาดและตื่นตัว
ที่ปลายหูของเจ้าเหมียวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล ถือว่าเป็นจุดเด่น ขนที่มีลักษณะเฉพาะโดยมีขนสั้นความหนาปานกลางและขนยาวที่ความยาวพอเหมาะ ซึ่งมีความยืดหยุ่นและกันน้ำได้ ขนชั้นนอกจะหยาบส่วนขนด้านในจะคล้ายกับในกระต่ายซึ่งจะช่วยป้องกันตัวแมวจาก สภาพอากาศได้ เมื่อมันเคลื่อนไหวจะแสดงให้เห็นถึงธรรมชาติในการเดินรวมทั้งลักษณะทาง กายภาพที่มีความคล้ายคลึงกับแมวป่า สัตว์พันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่มีการเจริญเติบโตช้าโดยจะต้องอาศัยเวลา 2-3 ปีกว่าที่จะโตเต็มตัว ถึงแม้แมวพันธุ์นี้จะมีลักษณะของสัตว์ป่าแต่อุปนิสัยและการปรับตัวก็มีความแตกต่างกัน
ลักษณะนิสัยของ แมวพันธ์ อเมริกัน บ็อบเทล
อเมริกัน บ็อบเทล เป็นแมวที่ใจดี น่ารัก และฉลาดอย่างมาก มันมีลักษณะนิสัยคล้ายสุนัข และรักเจ้าของมาก อเมริกัน บ็อบเทล สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะที่ยุ่งเหยิงหรือเงียบได้ ยีนของแมวพันธุ์นี้เป็นยีนเด่น ซึ่งจะต้องมีหางสั้นตามธรรมชาติเพื่อที่จะได้มีลูกแมวที่หางสั้นต่อไป ความยาวโดยเฉลี่ยของหางคือ1-4 นิ้ว อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงค่าเฉลี่ย โดยความเป็นจริงแล้วอาจจะสั้นหรือยาวกว่านี้ก็ได้
นอกจากนี้ อเมริกัน บ็อบเทล จะผูกพันกับครอบครัว มันเข้าได้ดีกับสุนัขและสัตว์แปลกหน้าไม่ว่าจะมี4ขา หรือ 2 ขา คนขับรถบรรทุกมักจะให้มันนั่งไปเป็นเพื่อนเพราะมันจะเป็นเพื่อนร่วมทางที่ดี ถ้าฝึกตั้งแต่เด็ก ๆ นักบำบัดทางจิตวิทยายังใช้มันในโปรแกรมการรักษาด้วย เพราะมันมีพฤติกรรมที่ดี ทั้งยังอ่อนโยนต่อผู้คนที่อยู่ในความทุกข์หรือเศร้าโศกเสียใจ นอกจากนี้มันเป็นเพื่อนเล่นที่ดีของเด็ก ๆ อเมริกัน บ็อบเทล มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อคนทุกวัยและเหมาะที่จะเลี้ยงไว้ในครอบครัวเพื่อความเพลิดเพลิน
อย่างไรก็ตาม แมวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล ชอบเล่นเกมส์ เช่น ให้วิ่งไปคาบ, เล่นซ่อนหา ซึ่ง อเมริกัน บ็อบเทล เล่นได้เป็นชั่วโมง ๆ มันจะเรียกร้องให้เราเล่นเกมส์กับมันและจะไม่หยุดจนกว่าเราจะเล่นด้วย โดยพื้นฐานแล้ว อเมริกัน บ็อบเทล จะเป็นแมวเงียบ ๆ แต่มันจะตื่นเต้นและส่งเสียงต่าง ๆ เวลาดีใจ เราสามารถล่ามโซ่ อเมริกัน บ็อบเทล ได้ง่ายและมันชอบที่จะออกไปเดินเล่น แมวพันธุ์นี้ชอบวัตถุที่ขึ้นเงา เป็นประกายเพราะฉะนั้นจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเก็บกล่องเครื่องเพชรให้ดี ๆ
ประวัติ แมวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล
นอกเหนือจากคุณสมบัติเด่นที่กล่าวไปแล้ว แมวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล ยังเป็นนักล่าที่เก่งกาจด้วยสัญชาตญาณในการเป็นนักล่าของมัน อเมริกัน บ็อบเทล มักจะช่วยจับแมลงที่บินภายในบ้าน มีรายงานว่าแมวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล ส่วนใหญ่สามารถเปิดประตูบ้านเองได้โดยยืนด้วยขาหลังและหมุนลูกบิดประตูด้วยอุ้งเท้า และลักษณะที่ดีของมันอีกอย่างก็คือขนของมันต้องการการแปรงน้อยมากหรือไม่ต้องการเลย
ทั้งนี้ แมวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล มีมาเป็นเวลา 30 ปีแล้ว แต่เพิ่งจะมามีชื่อเสียงเมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา มันเป็นหนึ่งในพันธุ์ที่เพิ่งจะได้รับการยอมรับจากสมาคม Cat Fanciers’ เมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ ปี 2000 ว่าเป็นพันธุ์ที่รู้จักกันมานานแล้ว และมีสายพันธุ์อยู่ทั่วโลกซึ่งเป็นหนึ่งในพันธุ์ที่น่าภูมิใจของอเมริกา ลักษณะที่เหมือนแมวป่าบวกกับลักษณะนิสัยที่เชื่องที่น่าพอใจ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้เพาะพันธุ์ที่ได้ทุ่มเทเวลา ความพยายามและกำลัง กายเพื่อที่จะให้ได้พันธุ์ที่น่าทึ่งนี้ พันธุ์อเมริกัน บ็อบเทล จึงสามารถอ้างสิทธิ์ได้อย่างภาคภูมิใจว่าเกิดในอเมริกา
การกำหนดราคาของ อเมริกัน บ็อบเทล ปกติจะขึ้นอยู่กับชนิด,ลักษณะที่เหมาะสม และสายเลือด ผู้เพาะพันธุ์ส่วนใหญ่จะเพาะพันธุ์ลูกแมวอายุระหว่าง 12-16 สัปดาห์ หลังจาก 12 สัปดาห์ ลูกแมวจะได้รับการเตรียมพร้อมและพัฒนาทางด้านกายภาพและสถานะทางสังคมซึ่งจำ เป็นต่อการปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมใหม่,การแสดงหรือการขนส่งทางอากาศ การเลี้ยงไว้ในบ้าน,การทำหมันและจำกัดพื้นที่ให้พอเหมาะ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสุขภาพที่ดีและมีความสุขของแมวพันธุ์นี้
ลักษณะทั่วไปของ แมวพันธุ์ อเมริกัน บ็อบเทล
มีขนาดตั้งแต่ขนาดกลางถึงใหญ่ สามารถสังเกตความเป็นนักกีฬาของมันได้จากลักษณะของกล้ามเนื้อและพละกำลัง ร่างกายมีความยาวปานกลางเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแข็งแรงและมีไหล่ยื่นออกมา หางสั้นและสามารถเห็นได้เหนือหลังเวลามันตกใจโดยจะไม่ยาวไปถึงหัวเข่า พันธุ์นี้มีหัวที่แข็งแรง กว้างปานกลางเป็นรูปลิ่มโดยมีคิ้วที่เด่นเฉพาะตัวอยู่เหนือดวงตาโตคล้ายรูปอัลมอนด์ การแสดงออกทางสีหน้าท่าทางเป็นสิ่งที่แสดงถึงความฉลาดและความตื่นตัว โดยปกติตัวเมียจะมีสัดส่วนทีเล็กกว่าตัวผู้ ชนิดและลักษณะท่าทางจะมีความสำคัญมากกว่าขนาดตัว
อเมริกัน บ็อบเทลล์ มีลักษณะภายนอกคล้ายคลึงกับสัตว์ป่าแต่มีอุปนิสัยใจคอและลักษณะนิสัยที่แตกต่างออกไป
หัว : กว้างเป็นรูปลิ่มโดยไม่มีส่วนแบนหรือส่วนที่เป็นโดม ได้สัดส่วนกับลำตัว ส่วนของปากและจมูกยื่นออกมาอย่างพอเหมาะ โหนกแก้มเห็นได้ชัด มีหนวดวางอยู่บนแก้มที่อูม ส่วนโค้งระหว่างจมูกกับคิ้วบางและมีความยาวระหว่างคิ้วกับหูพอเหมาะ คิ้วสามารถเห็นได้ชัดบริเวณหน้าผากเป็นแนวเหนือตา ขอบของคิ้วจะอูมขึ้นรอบตา จมูกกว้าง ผิวหนังรอบจมูกจะใหญ่ คางแข็งแรงและกว้างได้แนวกับจมูกความกว้างของหัวและเหนียงที่คอจะเห็นได้ใจ ตัวผู้ที่โตเต็มที่แล้ว
หู : มีขนาดปานกลาง ฐานกว้างมีขอบรอบๆหูบางอยู่ด้านบนสุดและด้านข้างสุดของหัว ขอบของหูยิ่งสูงยิ่งดี มีรอยสีเป็นรูปนิ้วอยู่ด้านหลังของหูหรือมีลายหรือลักษณะคล้ายแมวป่าเป็น ลักษณะที่ดี
ตา : ตามีขนาดใหญ่ รูปร่างคล้ายเม็ดอัลมอนด์ วางตัวอยู่ลึก มุมด้านนอกบางขึ้นไปถึงหู ตาสองข้างห่างจากกันพอเหมาะ คิ้วที่อยู่เหนือตาแสดงให้เห็นถึงความเป็นนักล่าโดยธรรมชาติ
รูปร่าง : ค่อนข้างยาว และแข็งแรงเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า อกเต็มและกว้าง สะโพกบางใหญ่มีแผ่นไหล่ยื่นออกมาจากลำตัว สะโพกแข็งแรงและเกือบกว้างเท่าอก สีข้างหนา มีกล้ามเนื้อ มีลักษณะแบบนักกีฬา มีการเจริญเติบโตเต็มที่ช้า
ขาและเท้า : ได้ขนาดกับร่างกาย มีความยาวพอเหมาะและมีกระดูกที่แข็งแรง อุ้งเท้าใหญ่และกลม มีปอยขนยาวที่นิ้วเท้า ขาหน้ามี 5นิ้ว ขาหลังมี 4นิ้ว
คอ : มีความยาวปานกลางแต่อาจจะสั้นขึ้นกับลักษณะของกล้ามเนื้อ
หาง : หางสั้น อาจตรง,เป็นส่วนโค้งเล็กน้อยหรือบิดงอเล็กน้อยหรือมีรอยขรุขระไปตามความยาว ของหาง หางอยู่ในแนวเดียวกับสะโพก มีฐานกว้าง แข็งแรงและทนต่อสัมผัส ไม่แข็งแต่ต้องยืดหยุ่นและไม่บิดจนไปทำลายธรรมชาติการเคลื่อนไหวของหาง หางที่ตรงจะได้รับการยอมรับกว่าหางที่งอ หางที่ตรงควรจะมีส่วนท้ายที่อูม ความยาวของหาง : จะต้องยาวพอที่จะเห็นได้ชัดเหนือส่วนหลังเวลาแมวตกใจ แต่จะต้องไม่เลยไปถึงหัวเข่า
ขนสั้น :
ความยาว : ปานกลาง หนาพอสมควร
ความหยาบ : ไม่พันกัน ยืดหยุ่นได้ดี ตรงปลายจะบาง
ความหนา : มีขน 2 ชั้น ส่วนบนหนานุ่ม, ส่วนล่างอ่อนนุ่ม
ความหลากหลาย : ขนสามารถสังเกตความแตกต่างได้ตามฤดู ขนอาจจะนุ่มขึ้น ความหยาบ ละเอียดหรือสีจางลง ตีนขนอาจจะมีสีเทามีลาย
ขนยาว :
ความยาว : ยาวปานกลาง หยาบเล็กน้อย ขนจะยาวเรียวบางลงบริเวณรอบคอสัตว์,สะดือและหาง
ขนรอบคอ : บางนุ่ม
ความหยาบ : ไม่พันกัน ยืดหยุ่น
ความหนา : ขน 2 ชั้น ตีนขนไม่หนามาก
ความหลากหลาย : ขนสามารถเปลี่ยนไปได้ตามฤดูกาล อาจนุ่มขึ้น,หยาบละเอียด,สีจางลง ตีน ขนอาจมีสีเทา มีลาย
พัฒนาการ : มีการพัฒนาร่างกายให้โตเต็มวัยช้า โดยร่างกายของแมวพันธุ์นี้จะค่อยๆเติบโตจนเต็มที่ตอนอายุได้ 3 ปี
ข้อบกพร่อง : หาง ที่ยาวเกินไปหรือสั้นเกินไปมีผลต่อการทรงตัวและลักษณะภายนอกของแมว หางที่บิดงอหรือขมวดเป็นปม หางที่แข็งไม่ยืดหยุ่นหรือวางตัวอยู่ต่ำ หางตรงแต่ส่วนท้ายไม่อูม ตากลม คางอ่อนส่วนปากและจมูกยื่นออกมาน้อยเกินไป
ลักษณะที่ไม่ได้คุณภาพ : หางไม่ได้ขนาด ตาผิดรูป กระดูกเปราะ มีจำนวนนิ้วเท้าไม่ถูกต้อง
สีและรูปแบบ : ทุกสีและทุกรูปแบบยอมรับได้ ไม่ค่อยยอมรับลักษณะที่มีลาย ลักษณะที่คล้ายแมวป่าเป็นที่ต้องการ
สีตา : ทุกสีที่เป็นไปได้แต่ต้องไม่มีลักษณะที่แปลก ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างตากับสีขน